จับตาผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ต่อการผลิตและการลงทุนใน EEC

จับตาผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐ   ต่อการผลิตและการลงทุนใน EEC

ปัจจุบัน เศรษฐกิจและการค้าโลกกำลังเผชิญกับสงครามการค้ารอบใหม่ หลังจากสหรัฐ ประกาศเก็บภาษีตอบโต้กับนานาประเทศ เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

 ถึงแม้ว่ามาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ จะอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐ แต่ขณะนี้ สหรัฐฯ ยังสามารถจัดเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐานในอัตรา 10% ส่วนภาษีตอบโต้รายประเทศ (ส่วนเพิ่มจากภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10%) คาดจะเริ่มจัดเก็บในวันที่ 9 ก.ค. 2568 หลังครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผัน 90 วัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มประเทศที่จะถูกสหรัฐ เก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูง และพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐ เป็นหลักอย่างอาเซียน

ทั้งนี้ หากสหรัฐ จัดเก็บภาษีตอบโต้ตามอัตราที่ประกาศไว้ คาดว่า เวียดนาม กัมพูชา และไทยเป็นประเทศในอาเซียนที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากจะถูกสหรัฐ เก็บภาษีตอบโต้สูงถึง 46%, 49% และ 36% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่ 33% อีกทั้งยังมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐสูงถึง 22%, 21% และ 10% ต่อ GDP ตามลำดับ

สำหรับไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารชั้นนำของโลก และเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่การผลิตที่สำคัญ โดยเฉพาะใน EEC อาจได้รับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่

1) การส่งออก โดยสินค้าไทยที่จะได้รับผลกระทบทางตรงมากที่สุด คือ กลุ่มเครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงถึง 57% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทยไปสหรัฐ ส่วนสินค้าไทยที่จะได้รับผลกระทบทางอ้อมในการส่งออกไปจีนมากที่สุด คือ กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร กลุ่มเครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีนอย่างกลุ่มพลาสติกและยางพารา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการใน EEC ที่ส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปสหรัฐ และจีนเป็นหลัก

2) การผลิต สินค้าจีนมีแนวโน้มทะลักเข้ามาในอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการผลิตรถยนต์ เคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ EEC มุ่งส่งเสริมและดึงดูดการลงทุน อาจส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของอุตสาหกรรมใน EEC

3) การลงทุน นักลงทุนอาจจะชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน หรืออาจจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้ต่ำกว่าไทย เช่น ฟิลิปปินส์ (17%) และสิงคโปร์ (10%) นอกจากนี้ บริษัทสัญชาติสหรัฐ อาจย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐ (Reshoring) เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาใน EEC ในอนาคตมีแนวโน้มลดลง

Krungthai COMPASS แนะนำ การรับมือกับสงครามการค้าจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยผู้ประกอบการควรมุ่งเน้นพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและมีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่ง รวมทั้งขยายการส่งออกไปตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อาเซียน กลุ่ม BRICS และตะวันออกกลาง เป็นต้น ขณะที่ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งเจรจากับสหรัฐ และออกมาตรการรับมือกับปัญหา China Flooding ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการผลิตและการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

โดยเฉพาะ SMEs นอกจากนี้ ภาครัฐอาจเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับตลาดใหม่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการผลิตและการลงทุนใน EEC มากขึ้น