ภาษีทรัมป์ 36% กับรัฐบาลมือสมัครเล่น | Now and Beyond

ข่าวใหญ่ที่กระแทกประเทศไทยในเช้าตรู่ของวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 คือทรัมป์ประกาศเก็บภาษีประเทศไทย 36% คล้อยหลังเพียง 2 วันจากที่รองนายกรัฐมนตรีนำทีมเจรจาซึ่งคว้าน้ำเหลว
กลับมายังไม่ทันได้ตั้งตัว จดหมายส่งถึงประเทศไทยและประเทศอื่นที่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ส่อแสดงความเป็นนักเลงที่ทั้งกล่าวหาถากถางและข่มขู่ เป็นการประกาศกร้าวว่าสหรัฐไม่สนใจไยดีต่อมิตรภาพใดๆ พร้อมจะฟาดฟันทุกประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้า
ในเวลาเดียวกันก็ตอกย้ำความผิดพลาดของทีมงานรัฐบาลชุดนี้ที่ขยับตัวช้าไป น้อยไป และชะล่าใจเกินไป มิไยที่นักวิชาการและมืออาชีพในวงการต่างๆ จะออกมาเตือนด้วยความห่วงใยก่อนหน้านี้
มีเวลาอีกจนถึง 1 สิงหาคม 2568 ที่จะต้องพยายามเจรจาต่อรองกันอีกรอบแต่ความหวังก็ริบหรี่เหลือเกิน ท่ามกลางการเข้ามาทำงานของรัฐบาลชุดมือสมัครเล่นที่ดูเหมือนจะฝากความหวังใดๆ ไม่ได้เลย ในขณะที่นายกรัฐมนตรีถูกสั่งหยุดปฏิบัติงาน
รัฐบาลจึงเหมือนไม่มีหัวหน้าทีมที่จะเป็นหลักได้อย่างแท้จริง แต่ถึงจะอยู่ในตำแหน่งก็สิ้นหวัง เพราะนายกแพทองธารขาดความรู้เรื่องเศรษฐกิจ ความอ่อนหัด ความด้อยสติปัญญาและวุฒิภาวะในทุกด้าน
กระทรวงเศรษฐกิจตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตร ก็ล้วนแต่มือสมัครเล่นที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี ยังไม่ทันได้เรียนรู้งานก็จะต้องเผชิญปัญหาใหญ่หลวงนี้ อนาคตของบ้านเมืองจึงสุดมืดมน
ธุรกิจส่งออกจะโดนผลกระทบหนักหลังจากอยู่กับความไม่แน่นอนมาแล้ว 90 วันนับจากวันที่ทรัมป์ประกาศภาษีตอบโต้ บัดนี้ชัดเจนแล้วว่าจะต้องรับมือกับอัตราภาษีนี้ให้ได้ โรงงานหลายแห่งที่เริ่มทยอยลดคนงานลงก่อนหน้านี้อาจจะมาถึงทางตันในเวลาอีกไม่นาน การจะปรับตัวหาตลาดใหม่ไม่ง่ายเลยเพราะพิษจากภาษีของทรัมป์ทำให้ทุกประเทศต้องปรับตัวไปในทิศทางเดียวกัน
ตลาดในประเทศเองซบเซามาตั้งแต่ปีก่อน กำลังซื้อหดหาย ห้างสรรพสินค้าไร้คนเดิน ธุรกิจเอสเอ็มอีจำนวนมากที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าที่เคยส่งเข้าสหรัฐอเมริกาจะต้องปิดตัวตามๆ กันไปเป็นลูกโซ่ เหล่านี้คือ ปัญหาเบื้องต้นที่รัฐบาลควรจะมองเห็นและเตรียมการมาแล้วตั้งแต่ปีก่อนหน้านี้ เมื่อรู้ว่าทรัมป์เอาแน่ทันทีที่มารับตำแหน่ง
ที่หนักหนากว่านั้นคือเมื่อโดนภาษี 36% ย่อมจะปิดประตูการลงทุนจากต่างประเทศ อัตราภาษีสูงขนาดนี้เท่ากับประเทศไทยตกลงไปอยู่ใน tier ต่ำเท่ากับเมียนมา กัมพูชา ลาว บังกลาเทศ ฯลฯ
ฝันที่คิดว่าจะดึงนักลงทุนเข้ามาแลกกับสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อดึงตัวเลขดีจีพีในปีนี้ปีหน้าจึงเป็นได้เพียงฝันค้าง ตัวเลขจีดีพีปีนี้ที่คาดว่าจะลงไปแถวๆ 1.0 นั้นจึงไม่ต้องตั้งคำถามกันอีกแล้ว
ปัญหาคนตกงานจำนวนมาก จะเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือให้ดี ทั้งคนงานจากภาคการผลิตและภาคบริการที่โดนผลกระทบก่อนหน้านี้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่หายวูบไป รัฐบาลมีแผนหรือยังที่จะรองรับ
ไม่นับแรงงานใหม่ที่จะออกจากภาคการศึกษาที่จะเจอกับสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ งานหายาก หรือใช้เวลาตกงานนานขึ้นหลังจบการศึกษา กระทรวงแรงงานที่มีรัฐมนตรีมือสมัครเล่นคนใหม่ไม่มีเวลาให้ตื่นตระหนกนานนัก เพราะปัญหาสาหัสรออยู่เบื้องหน้า
กระทรวงพาณิชย์ที่เป็นหลักของการค้าการส่งออกก็คงมะงุมมะงาหราอยู่ เพราะได้รัฐมนตรีสมัครเล่นที่ไร้ประสบการณ์เข้ามากำกับ ทั้งตัวเองก็ไม่ได้มีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในทีมไทยแลนด์ที่ไปเจรจากับสหรัฐก่อนหน้านั้นด้วย
จึงอาจจะไม่มีข้อมูลและล่วงรู้ถึงกลยุทธ์ของทีมที่ไปเจรจา แค่เกษตรกรที่ร่ำร้องอยู่ทุกวันกับราคาผลผลิตที่ตกต่ำก็ไม่เห็นมีมาตรการอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันออกมารองรับทั้งข้าว ปาล์ม ไปจนผลไม้ที่ราคาตกต่ำแบบน่าใจหาย
วันนี้สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำทันทีคือการตั้ง war room แล้วระดมสรรพกำลังจากมืออาชีพเข้ามาทำงานเป็นทีมที่เข้มแข็ง ไม่ใช่มีแต่ทีมข้าราชการ รองนายกรักษาการแม้ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจก็น่าจะมีสติปัญญาพอที่จะตระหนักว่าบ้านเมืองกำลังวิกฤติ
การตั้งรัฐมนตรีมือสมัครเล่นเข้ามาหลังการปรับคณะรัฐมนตรีล่าสุด นับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ควรใช้วิกฤตินี้แก้ตัว ใช้ War room เป็นศูนย์สั่งการเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กำหนดแผนและยุทธศาสตร์เพื่อเอาเศรษฐกิจให้รอด
ออกระเบียบหรือประกาศเป็นการเฉพาะเพื่อลดขั้นตอนการสั่งการและการดำเนินงานถือว่าเป็นการทำงานในภาวะฉุกเฉินไม่ปกติที่ต้องร่วมกันสู้เพื่อเอาบ้านเมืองให้รอด ในศูนย์สั่งการส่วนใหญ่ต้องเป็นมืออาชีพ นักปฏิบัติ นักวิชาการ นักธุรกิจที่ช่ำชอง ไม่ใช่นักการเมือง
งบประมาณปี 2569 แม้จะผ่านสภาไปแล้ว แต่เมื่อประเทศเผชิญปัญหาต้องมีการปรับกันใหม่เพื่อให้สามารถรับมือกับภาวะวิกฤติ จะใช้กลไกสภาหรือกฎหมายใดๆ ก็จำเป็นต้องทำเพื่อให้เกิดงบประมาณที่รองรับภาวะที่ไม่ปกติเช่นนี้
งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเตรียมไว้ก่อนหน้านี้จำนวน 115,000 ล้านที่มีแต่โครงการเบี้ยหัวแตกนั้นไม่ได้เอาผลของภาษีทรัมป์ 36% เข้าไปคิดด้วย ต้องเอากลับมารื้อกันใหม่ เพราะเงินจำนวนนี้ไม่มีทางเพียงพอ แค่คิดว่าจะต้องอุดหนุนเกษตรกรกับการนำเข้าสินค้าเกษตรบางรายการจากสหรัฐและอุดหนุนผู้ประกอบการอื่นๆ งบแค่นี้ก็เป็นได้เพียงน้ำจิ้มเท่านั้น
งบประมาณที่จะหมดไปกับกิจกรรมที่ไร้สาระไม่ฉลาดควรเลิกให้หมด เช่น งบซอฟต์พาวเวอร์ที่จริงๆ คืองบจัดอีเวนต์ งบดูงานของทุกหน่วยงานต้องเลิกให้หมด และงบเกี่ยวกับสภาที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่อง ต้องรู้ว่าประเทศจะต้องใช้เงินอีกมากนับจากนี้
รัฐบาลควรจะใช้วิกฤตินี้เป็นเวลาแห่งการปรับโครงสร้างสำคัญๆ ทุกองคาพยพไปด้วย ยกเครื่องความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการ ลดจำนวนข้าราชการทุกหน่วยงานรวมทั้งกองทัพให้มีเท่าที่จำเป็น ยุบและควบรวมหน่วยงานที่มีภารกิจซ้ำซ้อนแต่ตั้งขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการเมืองและงบประมาณเท่านั้น
นักการเมืองควรจะหยุดเล่นเกมแล้วหันมาร่วมมือกันคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ประเทศชาติอยู่รอดต่อไป หยุดสื่อสารเรื่อยเปื่อยและแสดงความเห็นทั้งที่ไม่รู้จริงที่จะสร้างความปั่นป่วนให้บ้านเมืองแล้วลงมือทำอย่างสุจริตใจ แต่ข้อสุดท้ายนี้อย่าไปหวังเลย เพราะคุณภาพนักการเมืองบ้านเราต่ำตมจนเทียบไม่ได้กับภาษีทรัมป์ที่สูงปรี๊ดขนาดนี้







