“SME”ชี้ผู้นำเข้าสหรัฐ ยกภาษีศุลกากรแลกส่วนลดทำกำไรหด

นับถอยหลังวันสิ้นสุดช่วงเวลาผ่อนปรนการใช้มาตรการทางภาษีศุลกากร (Tariffs) ของประเทศสหรัฐวันที่ 7 ก.ค. 2568 แม้ว่าทีมเจรจาของไทยกำลังพูดคุยกับทีมของสหรัฐอยู่
ไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นสะท้อนผ่านเสียงจากผู้ประกอบการโดยตรงจะพบว่า “งานนี้นี่เรื่องใหญ่”แล้ว
นายกิตติกร กาญจนคูหา ผู้จัดการฝ่ายส่งออก หจก.ชวนหลงเซรามิค เครื่องปั้นดินเผา (ม้า เซรามิค) จากเตาชวนหลง จังหวัดลำพูน ได้สะท้อนสถานการณ์การค้ากับสหรัฐ ว่า สินค้าส่วนใหญ่ของบริษัทส่งออกไปตลาดสหรัฐ ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีแผนจะหาตลาดเพิ่มแต่เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจและมาตรการทางภาษีของสหรัฐ ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจแล้วจึงเล็งเห็นว่าควรเพิ่มสัดส่วนตลาดอื่นให้มากขึ้นแต่ต้องอยู่บนบริบที่จะไม่ทิ้งคู่ค้าที่ทำการค้ากันมานานในสหรัฐ และตลาดสหรัฐแม้จะมีปัญหาแต่ขนาดตลาดที่ใหญ่มาก ก็ทำให้ตลาดนี้ยังน่าสนใจและต้องวางไว้เป็นตลาดหลักของธุรกิจต่อไป
นี่คือบทสรุปของผู้ประกอบการผลิตสินค้าหัตถกรรมจากจังหวัดลำพูดที่เล่าถึงการประคับประคองธุรกิจท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
นายกิตติกร เล่าอีกว่าต้องรอดูมาตรการทางภาษีอย่างชัดเจนอีกครัั้งก่อนแต่ที่ผ่านมาแม้ไม่มีมาตรการภาษีแต่สินค้าในกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐจะถูกเก็บภาษี 6% อยู่แล้ว โดยหลักการภาษีนำเข้าจะเป็นหน้าที่ของผู้นำเข้าปลายทาง แต่ในทางปฎิบัติจริงภาษีคือ “ส่วนลด”ที่ผู้ซื่้อจะใช้ต่อรองจากผู้ส่งออกหรือผู้ผลิต
ดังนั้นถ้าสหรัฐเก็บภาษีสูง การต่อรองขอส่วนลดก็จะสูงตามไปด้วย และผู้ผลิตจะต้องกลับมาบริหารจัดการต้นทุนเพื่อคงสัดส่วนกำไรแต่หากทำไม่ได้อาจต้องยอมลดกำไรลง ซึ่งหมายถึงรายได้ที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจ รวมถึงสายป่านที่จะประคองธุรกิจให้ฝ่าความท้าทายต่างๆนั้นจะลดลงไปเรื่อยๆ เหมือนขีดความสามารถการแข่งขันทั้งกับคู่แข่ง ตัวเอง และความท้าทายลดลงไปทุกวัน
เบื้องต้น ตอนนี้สินค้าถูกเก็บจากภาษีจาก6% ไปที่ 10% แต่หากต้องถูกเก็บภาษีที่ 36% จริงๆยอมรับว่าจะกระทบสูงมากปัจจุบันเริ่มมองหาแนวทางปรับตัวด้วยการ นำเสนองานดีไซด์ที่คงความโดดเด่น สวยงาน แต่มีความซับซ้อนชิ้นงานน้อยลงเพื่อลดต้นทุนและทำราคาขายได้มากขึ้น ทำให้จำนวนชิ้นงานยังคงมีจำนวนมากแต่มูลค่าแต่ละชิิ้นจะลดลง ซึี่งแนวทางนี้ ผู้ซื้อที่สหรัฐ ค่อนข้างพอใจและยอมรับได้ แต่แนวทางนี้ยังไม่สามารถประเมินผลได้หากถูกภาษีในอัตราที่สูงเพราะผู้นำเข้าที่สหรัฐ ก็เผชิญแรงกดดันหลายทาง ทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาขายที่ต้องสูงขึ้นจากภาษีนำเข้า
“มีสัญญาณมาสักระยะแล้ว คือ การชะลอคำสั่งซื้อ การรอให้สต๊อกหมดจึงสั่งใหม่ และการต่อรองราคา หรือ ขอส่วนลดที่มากขึ้นเพื่อชดเชยอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น”
อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดสหรัฐ มีความโดดเด่นเฉพาะตัวคือมีกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อที่สูง ประกอบกับขนาดตลาดที่ใหญ่มา เช่น บริษัทส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อ ราว 200-300 ชิ้นต่อครั้ง ผู้นำเข้านำไปวางที่สโตร์ที่มี 4,000 แห่งทั้งสหรัฐ จึงใช้เวลาไม่นานสินค้าจะขายหมดดังนั้นมองว่าตลาดสหรัฐยังมีโอกาสที่ดีอยู่แต่ต้องเสริมกำลังและศักยภาพให้ผู้ประกอบการคงสายป่านและประคองตัวผ่านวิกฤติครั้งนี้และที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตไปให้ได้
สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล อยากให้นำงานแสดงสินค้าที่มุ่งเสนอแต่งานดีไซด์ หรือ งาน BIG เฉพาะกลับมา เพราะเดิมเคยได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่รวมอยู่ในโปรแกรมการร่วมงานควบคู่ไปกับ งานที่ฮ่องกงและอินเดีย แต่ปัจจุบันงานดังกล่าวไม่มีแล้วหลังจากที่นำไปรวมกับงานแสดงสินค้าอื่นทำให้ไม่มีความโดดเด่นด้านการดีไซด์จึงไม่มีผู้นำมาร่วมงานแต่ยังคงเดินทางไปยังอินเดียและฮ่องกงแทน
ในส่วนแนวทางรับมือปัญหาภาษีสหรัฐ อีกด้านหนึ่ง เมื่อเร็วๆนี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.)รับทราบแนวทางการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์) และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันการค้า พิจารณาศึกษาแนวทางและมาตรการส่งเสริมและกำกับดูแลเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เหมาะสมสำหรับบริบทของประเทศไทย สาระสำคัญของเรื่องว่าด้วยการจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มพิจารณาแนวทางในการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล แม้ว่ากลไกของร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลจะช่วยให้การกำกับดูแล การบังคับใช้และบทกำหนดโทษมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
“แต่การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ได้สัดส่วนและมีประสิทธิภาพตามหลักสากล นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลในประเทศไทยแล้ว ยังอาจใช้เป็นประโยชน์ในการต่อรองกับมาตรการทางภาษีศุลกากร (Tariffs) ของประเทศสหรัฐได้”







