“หัตถกรรมไทย”ท้ากติกาโลกใหม่ งัด“ดีไซด์”ที่เข้าใจหลากหลายวัฒนธรรม

เหตุผลการตัดสินใจใช้เงินหรือซื้อสินค้าแต่ละครั้ง แต่ละอย่างจะแตกต่างกันไป ซึ่ง“งานศิลปะหัตถกรรมของไทย” จัดอยู่ในกลุ่มการซื้อด้วยอารมณ์ ความชอบ
หรือ การตระหนักรู้จนเกิดเป็นความประทับใจ ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ กำลังอ่อนแรงในยุคที่เศรษฐกิจไทยและทั่วโลกกำลังอ่อนแอหรือไม่
สุจินต์ ไข่ริน กลุ่มวิสาหกิจชุมชนจักสานก้านจาก จังหวัดตรัง เล่าว่า สินค้าที่ชุมชนผลิตหลักๆ คือ กระบวยน้ำ หรือ ติหมา แก้วนำ้ใบจากและงานจักสานจากใบจากอื่นๆที่ทำจากวัสดุในท้องถิ่นคือใบจากที่เป็นส่วนเหลือทิ้งหลังการลอกใบจากเพื่อทำบุหรี่แล้ว ส่วนแรงงานจะเป็นชาวบ้านในชุมชนราว 96 ครัวเรือน แม้ภาพรวมภาวะแวดล้อมการผลิตจะห่างไกลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจแต่ในด้านการขายและการตลาด ธุรกิจก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย
ปัจจุบัน กลุ่มฯส่งออกสินค้า(ติหมา)ไปตลาดจีนเป็นหลัก มีคำสั่งซื้อก่อนโควิดทำสัญญาไว้ ที่ 2-3 หมื่นชิ้น นาน 2 ปี แต่ส่งออกได้เพียง 8 เดือนก็เกิดโควิด จีนปิดประเทศ สัญญาซื้อขายดังกล่าวต้องจบไป อย่างไรก็ตาม ยังมีการส่งออกไปยังจีนผ่านแพลตฟอร์มลาซาด้า และ ช้อปปี้ โดยผู้ซื้อจะสั่งซื้อ เพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ ตั้งแต่ 500 ใบ ไปจนถึง 1,000 ใบ และ 10,000 ใบ รูปแบบการค้า กลุ่มจะผลิตบรรจุเข้าตู้คอนเทนเนอร์ส่งถึงท่าเรือแหลมฉบัง จากนั้นผู้ซื้อจะรับผิดชอบต่อจนถึงปลายทาง
สำหรับราคาส่งเฉลี่ยที่ 12 บาทต่อชิ้น ต้นทุนส่วนใหญ่เป็นค่าวัสดุ เฉลี่ย 6 บาทต่อชิ้น ค่าแรงเฉลี่ย 4 บาทต่อชิ้น แม้จะมีส่วนต่างกำไรที่ 2 บาทต่อชิ้นแต่ทางกลุ่มต้องมีค่าบริหารจัดการและค่าดำเนินการขนส่ง ทำให้ต้นทุนและกำไร“บางมาก”
“ราคา 12 บาท เป็นราคาก่อนโควิด แต่ตอนนี้ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ กำลังขอลดราคา อยู่ที่ 10 บาทต่อชิ้น ทำให้แทบไม่มีกำไร จึงวางแผนปรับการทำตลาดใหม่ หลังจากที่พบว่า สินค้าชนิดเดียวกันนี้ขายในเวบไซด์ที่จีน ชิ้นละ 59 บาท ส่วนผู้ค้าในประเทศย่านราชดำริ นำไปทำแพคเกจใหม่ จำหน่ายที่ราคาชิ้นละ 15 บาท ”
ปัจจุบันคำสั่งซื่้อมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่จำนวนลดลงและมีการขอส่งลดค่อนข้างมาก กำลังการผลิตของชุมชน 2,000-4,000 ชิ้นต่อวัน แต่คำสั่งซื้อ ถ้าผ้าแพลตฟอร์มหลัก จากเดิมวันละ 1,000 ชิ้นต่อวัน แต่ปัจจุบันเหลือหลักร้อย ขณะที่จีน จะมีคำสั่งซื้อเฉลี่ย 1 หมื่นใบต่อทุก 3 เดือน จากเดิม 2-3 หมื่นใบ ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ มีคำสั่งต่อเนื่องเฉลี่ย 2-3 หมื่นชิ้นต่อ 3 เดือน
ปัจจุบันทางกลุ่มกำลังมีแผนปรับการทำตลาดด้วยการมองหาตลาดที่มีศักยภาพใหม่ ๆ เช่น มาเลเซีย ด้วยการยึดจุดแข็งที่สินค้ามีจุดขายของตัวเองคือ เป็นสินค้าที่ทำจากธรรมชาติ มีคุณภาพดีเพราะหลังชาวบ้านนำชิ้นงานที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว จากกลุ่มจะนำไปอบแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์อีกครั้งเพื่อทำความสะอาดและทำให้ชิ้นงานอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งาน
ทั้งนี้ วิธีการทำตลาดปัจจุบัน กำลังเจรจากับเวบไซด์อาลีบาบา ด้วยการเปิดหน้าที่ในเวบไซด์ซึ่งมีต้นทุนที่ 3 หมื่นบาทต่อการโพสต์สินค้า 2 ไอเท็ม แต่คาดว่าศักยภาพของแพลตฟอร์มนี้ จะเข้าถึงตลาดยุโรปและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคปลายทางได้โดยตรงซึ่งจะมีผลในการกำหนดราคาที่เพื่อทำให้ส่วนต่างกำไรสูงขึ้น
“ตอนนี้ทำแบรนด์ของตัวเองแล้ว ชื่อ จากตรัง แต่ก็ยังรับงานที่ลูกค้าส่งสติกเกอร์มาให้ติดอยู่เพราะคือรายได้ที่สม่ำเสมอเพื่อให้ชุมชนมีรายได้ต่อเนื่อง ส่วนการทำตลาดเพิ่มเติมก็จะทำให้ธุรกิจมีความเข้มแข็งขึ้นและเติบโตขึ้นได้ จึงอยากให้รัฐบาลช่วยเรื่องการเปิดตลาดเพราะทางกลุ่มชุมชนอยากส่งออกสินค้าด้วยตัวเองมากว่าผ่านนายหน้าที่มีจุดอ่อนที่การแข่งขันด้านราคามากกว่าการนำเสนอคุณค่าของชิ้นงาน”
ด้านกิตติกร กาญจนคูหา ผู้จัดการฝ่ายส่งออก หจก.ชวนหลงเซรามิค เครื่องปั้นดินเผา (ม้า เซรามิค) จากเตาชวนหลง จังหวัดลำพูน กล่าวว่า สถานการณ์ส่งออกสินค้ากำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญคือ เศรษฐกิจชะลอตัวในตลาดยุโรป และปัญหาการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของตลาดสหรัฐ ทำให้คำสั่งซื้อชะลอตัว หรือ มีรอบการสั่งซื้อที่ล่าช้าออกไปโดยผู้นำเข้าจะรอจนกว่าสินค้าจะหมดสต๊อกจึงสั่งสินค้าใหม่ ขณะเดียวกันก็มีการลดปริมาณซื้อ และขอต่อรองราคาให้ลดลงหรือขอส่วนลดเป็นพิเศษเพื่อชดเชยกับต้นทุนทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ทั้งในรูปการจัดจำหน่ายที่ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเพราะคนซื้อน้อยลง และต้นทุนจากภาษีที่อาจปรับเพิ่มขึ้นด้วย
“สินค้าเป็นกลุ่มไลฟ์สไตล์ ที่ต้องใช้อารมณ์ความรู้สึกว่าอยากซื้อ อยากได้ ดังนั้นหากเศรษฐกิจไม่ได้อาจเป็นกลุ่มที่ถูกตัดสินออกไปจากรายการช้อปปิงได้ง่ายๆ ดังนั้น การปรับรูปแบบงานดีไซด์จึงเป็นแนวทางนำเสนอสินค้าในบริบทใหม่ให้ลูกค้า ตื่นเต้นและยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง”
โรงงานมีกำลังผลิต เฉลี่ย 4,500 ชิ้นต่อเดือน มีแรงงานฝีมือ 20 คน และแรงงานโดยรวม 40 คน ซึ่งน่าจะเป็นโรงงานแห่งสุดท้ายของจังหวัดลำพูด ส่วนผู้ผลิตรายใหญ่ที่ลำปางก็พบว่าปิดตัวไปกว่าครึ่งหลังโควิด และแม้ว่าโควิดจะจบไปแล้วก็พบว่าโรงงานส่วนใหญ่ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้ เช่นเดียวกับเชียงใหม่ ที่ดีกว่าเล็กน้อยที่ปิดตัวไปเพียงบางส่วน ดังนั้นเพื่อประคับประคองให้ธุรกิจอยู่ได้ ปัจจุบัน ระดมแรงงานฝีมือร่วมกันออกแบบสินค้าที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์งานดีไซด์มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ผลิตชิิ้นงานที่มีความไม่ซับซ้อนมากเพื่อให้กำหนดราคาจำหน่ายที่ไม่สูงมาก เพื่อไปถึงปลายทางผู้นำเข้าในต่างประเทศจะขายได้ง่ายขึ้น และคืนกำไรได้เร็วขึ้น
ส่วนการนำนวัตกรรมาใช้ยอมรับว่ายังอยู่ในขั้นทดลองแม้จะช่วยลดเวลาและแรงงานการผลิตได้สำหรับสินค้าจากเซรามิก โดยตอนนี้ใช้เครื่องขึ้นรูปที่ไม่ต้องใช้ฝีมือเฉพาะแต่ก็ต้องทดสอบต่อไปถึงคุณภาพและความทนทานว่าเป็นไปตามมาตรการการผลิตที่ใช้ฝีมือคนหรือไม่
นอกจากการผลิตชิ้นงานที่ใส่ไอเดียงานดีไซด์เข้า ยังควบคุมต้นทุนด้วยการลดความสูญเสียจากกระบวนการผลิต เช่น ตรวจชิิ้นงานตั้งแต่ขั้นตอนการปั้นดินหากพบตำหนิ จะทำลายชิ้นงานทันที ไม่ต้องนำไปเผาช่วยลดต้นทุนพลังงานและสามารถนำดินกลับไปผลิตชิ้นงานใหม่ได้อีก ส่วนต้นทุนด้านแรงงานยังไม่มีแผนลดลงและยังให้คงการขึ้นค่าแรงตามรอบไว้ตามเดิม
สำหรับสิ่งที่ฝากถึงรัฐบาล อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าหัตถกรรมให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะ ด้านการจัดหาวัตถุดิบ หาตลาดใหม่ และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อย่างจริงจังมากว่าการเล่นเกมการเมือง
“ส่วนใหญ่การเข้ามาช่วยเหลือจะเป็นการอบรม หรือ ประกวดและประชาสัมพันธ์ว่าพื้นที่หรือจังหวัดมีสินค้าที่ดี แต่ไม่มีการต่อยอดด้านการตลาดทำให้ผู้ผลิตแม้จะรู้ว่ามีของดีแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ ซึ่่งแนวทางการหาตลาดที่ดีที่สุดคือการดึงผู้ซื้อจากต่างประเทศเข้ามาได้เห็นและสัมผัสสินค้าหัตถกรรมไทย เพื่อสร้างความประทับใจและสร้างโอกาสทางการตลาดในอนาคต”
อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)หรือ SACIT กล่าวว่า แผนการทำตลาดสินค้าหัตกรรมจากนี้ คือการปรับงานดีไซด์ให้เหมาะกับแต่ละตลาด ด้วยการลงรายละเอียดวัฒธรรมและวิถีชีวิตของตลาดนั้นๆ รวมถึงการเรียนรู้ว่าสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ (Do‘s&Don’ts) เช่นตลาดตะวันออกกลาง ที่มีกำลังซื้อสูงแต่ก็มีเงื่อนไขและรูปแบบความต้องการสินค้าเฉพาะตัว การศึกษาอย่างเข้าใจวัฒธรรมและวิถีความเป็นอยู่จริงเมื่อนำมาผสานกับงานดีไซด์จะทำให้ สินค้าหัตถกรรมมีช่องทางการทำตลาดได้มากขึ้น
“ไม่ใช่ทุกคน ทุกบ้านทุกประเทศ จะใช้เครื่องเบญจรงค์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเบญจรงต์จะขายไม่ได้ แต่เราต้องปรับงานดีไซด์ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตลาดนั้นๆ สินค้าจึงจะได้รับการต้อนรับ”
ทั้งนี้ SACIT ไม่ได้เป็นผู้ผลิตสินค้าเอง แต่มีหน้าที่ส่งเสริมให้สินค้าตอบโจทย์ด้านการตลาด ทำให้การทำงานจากนี้ต้องเข้าไปหากลุ่มผู้ผลิตเป้าหมาย เพื่ออบรมแลทำความเข้าในแนวทางการปรับตัวเพื่อผลิตชิ้นงานและสร้างธุรกิจที่รับมือกับความท้าทายใหม่ของโลกให้ได้







