ไทยเบอร์สี่“ฮับสตาร์ตอัป”อาเซียน “โออีซีดี”แนะแก้จุดอ่อน“ขาดคน-ทักษะ”

สตาร์ตอัป คือ ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพเฉพาะตัว ทั้งด้านเทคโนโลยีและแนวความคิดใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้น สตาร์ตอัป จึงเป็นเหมือนความหวัง ทั้งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวม และความหวังของหน่วยธุรกิจหน้าใหม่
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาหรือ โออีซีดี เผยแพร่รายงาน Start-up Asia : Chasing the Innovation Frontier ระบุถึงประเทศไทยไว้ว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง(Hub)สตาร์ทอัพที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4% ของการลงทุนร่วมหรือ venture capital (VC)ของทั้งหมดในภูมิภาค (ช่วงปี 2021-23) รองจากสิงคโปร์ ที่มีสัดส่วนทุนที่ 58% อินโดนีเซีย 25% และเวียดนาม 6%
ในแง่ของจำนวนสตาร์ตอัป ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 6 มีสัดส่วน 5% ของสตาร์ตอัปทั้งหมด รองจากสิงคโปร์ที่ 47% อินโดนีเซีย 19% เวียดนาม 9% และฟิลิปปินส์ 8%
“ประเทศไทยยังความหนาแน่นของสตาร์ทอัพค่อนข้างต่ำ โดยมีสตาร์ตอัป 1.5 แห่งต่อประชากร 100,000 คน เท่ากับอินโดนีเซีย แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ที่ประมาณ 40แห่งต่อประชากร 1 แสนคน ”
อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าประเทศไทยมีนิเวศที่จะบ่มเพาะสตาร์ตอัปที่ดี โดย วงการสตาร์ทอัพของประเทศไทยเติบโตไปพร้อมกับศูนย์กลางอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เนื่องจากนักลงทุนสนใจตลาดใหม่ในเอเชียมากขึ้นนอกเหนือจากจีน อินเดีย และสิงคโปร์
“นั่นก็เพราะอาเซียนเป็นตลาดที่มีความยืดหยุ่น แม้ว่าช่วงปี 2021-2022 การลงทุนของ VC ลดลงครึ่งหนึ่งทั่วทั้งอาเซียนเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่การลงทุนในประเทศไทยกลับเพิ่มขึ้นถึง 76%”
เงินทุนที่เข้ามาในธุรกิจสตาร์ตอัปในไทย ส่วนใหญ่ไปสู่ด้านการขนส่งและโลจิสติกส์38% , ฟินเทค 27%, และอีคอมเมิร์ซ 22% ซึ่งเป็นทักษะทางธุรกิจที่คล้ายๆกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกันที่กำลังไต่ระดับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับูนิคอร์นของประเทศไทยโดดเด่นในตลาดที่ค่อนข้างเล็ก อย่าง Flash Express ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 มีความเชี่ยวชาญด้านบริการจัดส่งพัสดุและการจัดส่งอื่นๆ โดยมีธุรกิจที่กระจายอย่างรวดเร็วในอาเซียน ด้าน Wongnai ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 ในฐานะแอปรีวิวร้านอาหาร จากนั้นเปิดตัวในชื่อ LINE MAN Wongnai หลังจากรวมเข้ากับ LINE MAN ในปี 2020 และกลายเป็นแพลตฟอร์มการจัดส่งบริการตามต้องการ (เรียกแท็กซี่ จัดส่งอาหาร พร้อมด้วยกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ Rabbit LINE Pay) ส่วน Ascend Money ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 เป็นบริษัทสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีทางการเงินและแยกตัวออกมาจากกลุ่มโทรคมนาคม TrueMoney ซึ่งให้บริการโซลูชั่นอีคอมเมิร์ซและการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ TrueMoney
อย่างไรก็ตาม รายงานได้ชี้จุดอ่อนของการพัฒนาสตาร์ตอัป ซึ่งไม่รวมถึงแนวทางการส่งเสริมทั้งโอกาส องค์ความรู้ และเงินทุน ที่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาได้ช่วยกันทำงานอย่างแข็งขัน แต่การลงทุนในบุคลากรที่มีทักษะ รวมถึงผู้หญิง นั้นเป็นสิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนมากขึ้น
“โดยเฉพาะสายงานบุคลากรที่มีทักษะเพื่อสนับสนุนระบบนิเวศสตาร์ตอัปที่กำลังเติบโตเพราะ ประเทศไทยขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ โดยประชากรอายุมากกว่า 25 ปีประมาณ 15.6% มีวุฒิการศึกษาอย่างน้อยระดับปริญญาตรี ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค เช่น มาเลเซีย 12% แต่อัตราดังกล่าวอยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่งของอัตราในเศรษฐกิจขั้นสูง เช่น เกาหลี ที่29% ในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น ซึ่งมักจำเป็นสำหรับการทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI ช่องว่างดังกล่าวจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก”
ขณะเดียวกัน สตาร์ตอัปที่มีเจ้าของเป็นผู้หญิงอย่างน้อยหนึ่งคนคิดเป็นเพียง 19% ของทั้งหมดในประเทศไทย ในบรรดาศูนย์กลางสตาร์ตอัปที่ใหญ่ที่สุดในโลก สตาร์ตอัพที่เป็นของผู้หญิงมีเปอร์เซ็นต์สูงสุดอยู่ที่สหรัฐและออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 23% ซึ่งเน้นย้ำว่านี่เป็นปัญหาระดับโลก และจำเป็นต้องมีนโยบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น ซึ่ง การทำให้ประเด็นเรื่องเพศเป็นกระแสหลักในนโยบายอาจช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ได้
นอกจากนี้ แม้จะมีความคืบหน้าในการปฏิรูปกฎระเบียบ แต่สตาร์ตอัปในประเทศไทยยังคงเผชิญกับอุปสรรคสูงต่อธุรกิจ จากการสำรวจสตาร์ทอัพที่ดำเนินการโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA )พบว่าอุปสรรคด้านกฎระเบียบเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่
สตาร์ตอัปต้องเผชิญ ร่วมกับความยากลำบากในการดึงดูดผู้มีความสามารถ ระดมทุน และขยายไปสู่ตลาดทั่วโลก
ตัวอย่างเช่น วีซ่าอัจฉริยะมีเป้าหมายเพื่อวางตำแหน่งให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสตาร์ตอัประดับโลกโดยผ่อนปรนข้อกำหนดสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจ การปรับกรอบงานโดยรวมสำหรับบุคลากรที่มีพรสวรรค์จากต่างประเทศให้กระชับขึ้นอาจคุ้มค่ากว่าการสร้างกฎระเบียบแบบผสมผสาน
หากไม่มีวีซ่าอัจฉริยะ บริษัทสตาร์ตอัปจะต้องแสดงทุนจดทะเบียนระหว่าง 2 ล้านบาท (หากจดทะเบียนในประเทศไทย) ถึง 3 ล้านบาท (หากจดทะเบียนในต่างประเทศ) (ระหว่าง 63,000-94,000 ดอลลาร ) ซึ่งมักจะสูงเกินไปสำหรับบริษัทที่เพิ่งก่อตั้ง ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าตอนนี้ ESOPS (Employee Stock Ownership Plan คือแผนการจัดสรรหุ้นให้พนักงาน)จะง่ายขึ้นแล้ว แต่กฎระเบียบเกี่ยวกับการนำไปปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้นและความสะดวกขึ้น รวมถึงกฎเกณฑ์ด้านภาษีก็อาจช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถได้มากขึ้น
ด้านการเสริมสร้างกรอบงานทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ในประเทศไทยได้ให้ความสำคัญ เพื่อให้สตาร์ตอัปสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาและแข่งขันในระดับโลกได้
“ประเทศไทยได้พัฒนากรอบงานด้านการคุ้มครองและการบังคับใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในปีที่ผ่านมา แต่สินค้าปลอมและซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ไม่มีใบอนุญาตยังคงเป็นปัญหา ทำให้แรงจูงใจในการลงทุนในผลิตภัณฑ์และกระบวนการใหม่ๆ ลดน้อยลง และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญสำหรับการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเศรษฐกิจดิจิทัล”
สำหรับ เอเชียเป็นที่ตั้งของกลุ่มสตาร์ตอัปที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยคิดเป็น 23% ของการลงทุนร่วมทุน (VC) ทั้งหมดในปี 2021-23 เส้นทางสตาร์ตอัปของเอเชียเกิดขึ้นในช่วงที่การลงทุนร่วมทุนทั่วโลกเฟื่องฟู ซึ่งสูงถึง 0.5% ของ GDP ของโลกในปี 2021-23
ในขณะเดียวกัน สตาร์ตอัปก็เติบโตอย่างรวดเร็วในเศรษฐกิจกำลังพัฒนาและเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยได้รับการสนับสนุนจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วและการดำเนินนโยบายสำคัญๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่ เอเชีย รวมถึงประเทศไทยจะมีความโดดเด่นในการเติบโตของสตาร์ตอัปที่ รวดเร็วและขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่การเติบโตนี้จะดำเนินต่อไปไม่ได้ หากขาดซึ่งนวัตกรรมและนวัตกรรมก็มีที่มาจากปัจจัยนิเวศที่ส่งเสริมให้เกิดสตาร์ตอัปซึ่งประเทศไทยทำมาได้ดีแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งจากนี้ต้องดีขึ้นอีกต่อไปเรื่อยๆด้วยองค์ความรู้และการส่งเสริมที่จริงจังและเป็นรูปธรรม







