6 กลยุทธ์ สศอ. ชวนธุรกิจปรับตัว สู้ศึกเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง!

6 กลยุทธ์ สศอ. ชวนธุรกิจปรับตัว สู้ศึกเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง!

"สศอ." ระบุครึ่งปีหลังไทยเจอศึกหนัก! เปิด 6 กลยุทธ์ ชวนผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัวสู้ศึกเศรษฐกิจที่ยังถดถอย

KEY

POINTS

  • อุตสาหกรรมยานยนต์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 12.86% จากการส่งมอบรถยนต์ที่จองในงานมอเตอร์โชว์ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เช่น โครงการคุณสู้เราช่วย, โครงการ 10,000 บาท และการลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง.
  • มูลค่าส่งออกรวมเพิ่มขึ้น 18.4% (ต่อเนื่อง 11 เดือน) และสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 22.3% โดยเฉพาะการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนขึ้นภาษี.
  • ความไม่แน่นอนภาษีสหรัฐฯเป็นกุญแจสำคัญ หากภาษีนำเข้าสูงถึง 36% อาจกระทบ GDP ภาคอุตสาหกรรมถึง 1.02% แต่ภาครัฐกำลังเจรจาเต็มที่เพื่อลดผลกระทบ

"เศรษฐกิจไทย" ครึ่งปีหลังยังคงต้องจับตาความท้าทายที่รออยู่ อาทิ การเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และปัจจัยภายในประเทศทั้งการเมืองที่ไม่ค่อยมีเสถียรภาพ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงอย่างใกล้ชิด

นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมจะดูดี แต่ภาคอุตสาหกรรมยังคงเผชิญความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศชะลอตัวลง นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคมปรับตัวลดลง จากปัจจัยลบหลายด้าน ได้แก่

ค่าเงินบาทแข็ง: ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก

สินค้าทะลักจากต่างประเทศ: โดยเฉพาะสินค้าจีนราคาถูกที่หาตลาดใหม่หลังโดนภาษีสหรัฐฯ ทำให้เกิดการแข่งขันรุนแรงในตลาดในประเทศ

การบริโภคภาคเอกชนไม่ฟื้น: ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าอุตสาหกรรม

ภาคการท่องเที่ยวชะลอตัว ทั้งปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์, เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเดือนมีนาคม, นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศของจีน, และค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวไทยที่ถูกมองว่าแพงกว่าประเทศคู่แข่ง ล้วนเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้ง

นายภาสกร ระบุว่า การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ที่นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเป็นกุญแจสำคัญ แม้ไทยส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ ไม่มาก แต่ภาษีโดยรวมที่หากได้ต่ำกว่า 10% จะเป็นผลดี หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีถึง 36% อาจส่งผลกระทบต่อ GDP ภาคอุตสาหกรรมถึง 1.02%

"ภาครัฐกำลังเจรจาอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด คาดว่า MPI เดือนมิถุนายนจะยังคงขยายตัวจากคำสั่งซื้อที่เร่งก่อน ภาษีสหรัฐฯ และการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังดีต่อเนื่อง"

ทั้งนี้ สศอ. ยังคงประมาณการ MPI ทั้งปี 2568 ไว้ที่ 0.5-1.0% แม้ 5 เดือนแรกจะติดลบ 0.29% โดยมองว่ายังมีปัจจัยหนุนจากยานยนต์และการส่งออกบางส่วนที่ผลิตเพื่อชดเชย EV คาดว่าการเจรจาภาษีสหรัฐฯ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในเดือนหน้า

อย่างไรก็ตาม สศอ. ได้จัดสัมมนาหารือกับหน่วยงานเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยภาคเอกชนเสนอให้ภาครัฐเร่งตอบสนองต่อประเด็นท้าทาย โดยมองว่าหลายหน่วยงานได้ปรับลดประมาณการ GDP ลงแล้ว เช่น สภาพัฒน์ปรับลด GDP จาก 2.8% เหลือ 1.8%, CIMB คาด 1.8% และ กกร. ลดจาก 2.0-2.2% เหลือ 1.5-2.0% เป็นต้น

"ความเสี่ยงหลักในครึ่งปีหลังทั้งภาษีสหรัฐฯ ยังไม่สามารถคาดเดาตัวเลขที่ชัดเจนได้ รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้สถานการณ์ในตะวันออกกลาง (อิสราเอล-อิหร่าน) และ สงครามรัสเซีย-ยูเครน จะสงบลงบ้าง แต่ยังต้องเฝ้าระวัง อีกทั้งการไหลบ่าของสินค้าต่างประเทศ เมื่อประเทศที่เคยส่งออกไปสหรัฐฯ ถูกขึ้นภาษี พวกเขาจะหาตลาดใหม่ ทำให้สินค้าราคาถูกทะลักเข้ามาในไทยมากขึ้น"

นอกจากนี้ ยังยังต้องเจอกับปัจจัยภายในประเทศ อาทิ เศรษฐกิจเปราะบางและหนี้ครัวเรือนสูง ส่งผลให้การบริโภคถดถอย นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง จากปัญหาความปลอดภัยและนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศของจีน

ดังนั้น เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ สศอ. และภาคเอกชนมีข้อเสนอแนวทางการปรับตัวสำหรับผู้ประกอบการ 6 ข้อ ดังนี้

1. แสวงหาตลาดใหม่ ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ตลาดฮาลาล ตลาดเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง (คาซัคสถาน, โอมาน) และขยายตลาดในกลุ่มประเทศมุสลิม รวมถึงอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, และจีน เป็นต้น

2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต Ffpเน้นการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและยกระดับการผลิต

3. รักษามาตรฐานและความเชื่อมั่น ตอกย้ำคุณภาพ "Made in Thailand" เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในตลาดโลก

4. สร้างความแตกต่าง เน้นอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์สังคมสูงวัย (สุขภาพ, สมุนไพร, อาหารสุขภาพ), สัตว์เลี้ยง, และสร้างความแตกต่างในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

5. เสริมสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน โดยเพิ่มความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่น

6. ติดตามมาตรการภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้ประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนต่างๆ

"ภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงต้องจับตาการเจรจากับสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลังอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งปรับตัวเพื่อลดต้นทุนและแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงผันผวน"

สำหรับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจำเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 100.79 ขยายตัว 1.88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Cap U) อยู่ที่ 61.14% ซึ่งสูงขึ้นจากเดือนเมษายนที่ 56.62% สะท้อนการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม

การขยายตัวของ MPI ได้รับแรงหนุนหลักจาก อุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยขยายตัว 12.86% เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งมอบรถยนต์ที่ลูกค้าจองจากงานมอเตอร์โชว์ นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการคุณสู้เราช่วย, โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ล้วนเป็นปัจจัยเสริม

ด้านการค้าระหว่างประเทศยังคงขยายตัวโดดเด่น โดย มูลค่าการส่งออกรวมเพิ่มขึ้น 18.4% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 โดยเฉพาะการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก่อนที่มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้มูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ และอากาศยานรบ) อยู่ที่ 23,552 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวถึง 22.3%