โอกาสเศรษฐกิจสูงวัย 3.5 ล้านล้าน 'TDRI' ชี้ 4 สินค้าได้ประโยชน์

ไทยเร่งปั้นเศรษฐกิจสูงวัย ต่อยอดโอกาสจากความท้าทาย สศช.-TDRI เสนอแนวทางขับเคลื่อน "Silver Economy" ผ่านสินค้าบริการ-แรงงาน-นโยบาย สำคัญ
KEY
POINTS
- “ศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ” กำลังมาเยือนพร้อมโอกาสทางเศรษฐกิจกว่า 3.5 ล้านล้านบาทในปี 2576
- TDRI แนะไทยเร่งปั้นเศรษฐกิจสูงวัย ต่อยอดโอกาสจากความท้าทาย
- ชี้เมื่อเมื่อประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องปรับตัวรับมือ
- ชูแนวทางขับเคลื่อน "Silver Economy" ผ่านสินค้า 4 กลุ่มบริการ-แรงงาน-นโยบาย เพื่อพลิกผู้สูงวัยจาก “ภาระ” สู่ “พลัง” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
แนวโน้มประชากรสูงวัยที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาทำให้หลายประเทศเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี องค์การสหประชาชาติได้ประเมินสถานการณ์ว่าองค์การสหประชาชาติได้ประเมินสถานการณ์ว่าปี พ.ศ. 2544-2643 (2001-2100) จะเป็นศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ หมายถึงการมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 10% ของประชากรรวมทั่วโลก ซึ่งนับเป็นความท้าทายของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการกำหนดนโยบายที่เหมาะสมของทุกประเทศทั่วโลก
เมื่อเร็วๆนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดการประชุมเผยแพร่ผลการศึกษาแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมภายใต้การเป็นสังคมสูงวัยของประเทศไทย ที่ สศช. มอบหมายให้มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นหน่วยงานที่ทำการศึกษา
นางสาวมนต์ทิพย์ สัมพันธวงศ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม สศช.เปิดเผยว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด ภายในไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งก่อให้เกิดความท้าทายต่อเศรษฐกิจจากการขาดแคลนแรงงาน ผลิตภาพแรงงานที่ลดลง ภาระสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากมองจากมุมมองด้านการปันผลทางประชากรก็เป็นโอกาสในการพัฒนา "เศรษฐกิจสูงวัย” (Silver Economy) ทั้งในด้านการผลิตสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการ และการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในฐานะแรงงานระบบเศรษฐกิจ โดยการประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อผลการศึกษา การร่วมกันพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย และแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสูงวัยของไทยให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI ไนำเสนอผลการศึกษา ซึ่งพบว่าในปี 2566 รายจ่ายเพื่อการบริโภคของผู้สูงอายุมีมูลค่าสูงถึง 2.18 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.5 ล้านล้านบาท ในปี 2576 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านและอาหาร รายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยจะเพิ่มจาก 6.4 แสนล้านบาท ในปี 2567 เป็น 8.8 แสนล้านบาท และคาดว่าจะมีผู้สูงอายุทำงาน 6.6 ล้านคน หรือคิดเป็น 37% ของผู้สูงอายุทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 36.6% ในปี 2566
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเงินออมต่ำ หนี้สิน และการออกจากตลาดงานก่อนวัยอันควรทั้งที่ยังมีสุขภาพดีเป็นปัจจัยฉุดรั้งสำคัญในการสร้างการเติบโต
สำหรับศักยภาพและโอกาสของสินค้าและบริการในกลุ่มสังคมสูงวัยมี 4 กลุ่ม ได้แก่
1.ด้านที่อยู่อาศัย เช่น การรวมกลุ่มของผู้สูงอายุเพื่อทำกิจกรรมในชุมชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การพัฒนาที่อยู่อาศัยและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในช่วงวัยต่าง ๆ และบริการปรับปรุงบ้านตามหลัก Universal Design
2.ด้านอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และอาหารเคี้ยวง่าย และอาหารเพื่อกลุ่มผู้เป็นโรค NCD
3.ด้านสุขภาพ เช่น การบริการผู้ดูแลผู้สูงอายุ สินค้าทางการแพทย์ นวัตกรรมการดูแลสุขภาพ และบริการการวางแผนในช่วงสุดท้ายของชีวิต
และ 4.ด้านนันทนาการ เช่น แพลตฟอร์มการแบ่งปันความรู้และทำกิจกรรม และบริการรถรับ-ส่ง การเป็นเพื่อนและพาทำกิจกรรมที่สนใจ โดยสินค้าและบริการที่ผู้สูงอายุมีโอกาสเข้าไปทำงานได้ เช่น การรวมกลุ่มพัฒนาสินค้าชุมชน การเป็น ผู้ดูแล คือ บุคคลที่ให้การดูแลช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ที่มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ (Caregiver) ที่ยังคงขาดแคลน การสร้างรายได้ออนไลน์จากงานอดิเรก หรือเป็น อินฟลูเอนเซอร์สูงวัย(Granfluencer)
ในส่วนของข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจสังคมสูงวัยในด้านต่างๆได้แก่ ด้านอาหาร ควรกำหนดมาตรฐาน การให้ข้อมูลเพื่อการบริโภคที่เหมาะสม ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา และส่งเสริมการแข่งขันของธุรกิจรายใหม่ขนาดเล็ก
ด้านที่อยู่อาศัย สนับสนุนภาคธุรกิจในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่มีกำลังซื้อหรือมีความจำเป็นเฉพาะด้าน และการใช้วัสดุและนวัตกรรมท้องถิ่นเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัย
ด้านการส่งเสริมสุขภาพ สร้างเสริมสุขภาพที่ดีตั้งแต่วัยก่อนเกษียณ และการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการผลิตสินค้าและอุปกรณ์เพื่อการดูแลสุขภาพขั้นสูง
ด้านบริการ ส่งเสริมการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน การประกันภัย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการท่องเที่ยว และหากต้องการสนับสนุนการทำงานของผู้สูงอายุ แรงงานในระบบ ควรมีมาตรการ Second job/career โดยเตรียมการทั้งด้านทักษะและ mindset เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางด้านอาชีพทั้งในวัยก่อนและหลังเกษียณ Re-employment โดยผลักดันการออกกฎหมายเพื่อการจ้างงานหลังเกษียณในตำแหน่งที่เหมาะสม และการยืดอายุเกษียณทั้งในภาครัฐและเอกชน
ส่วนแรงงานนอกระบบ ควรพัฒนาทักษะ hard และ soft skill การเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการประกอบอาชีพ และการจับคู่งานในชุมชน เพื่อลดอุปสรรคด้านการเดินทาง ทั้งนี้ กลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสูงวัยต้องลดความเป็น silo และปรับเปลี่ยนจากมุมมองการสงเคราะห์เป็นการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม
นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมการประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างเศรษฐกิจสูงวัยต้องเริ่มการสร้างสุขภาพที่ดีตั้งแต่วัย Pre - aging เพื่อการเป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีสามารถเป็นกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ การยืดอายุเกษียณควรอยู่บนหลัก "Rights and choices” การปรับปรุงบ้านจะช่วยส่งเสริมการสูงวัยในถิ่น และต้องเตรียมการตั้งแต่ในวัย 40 ปี โดยรัฐอาจใช้มาตรการลดหย่อนภาษีให้กับกลุ่มวัยแรงงานที่เป็นบุตรหลานเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเข้าถึงสินค้าและบริการต่าง ๆ
การใช้ Generational approach เพื่อสร้าง health literacy สร้างความตระหนักถึงความต้องการสินค้าและบริการใหม่ ๆ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นผู้บริโภคที่แท้จริง เช่น Family companion Personal shopper และ Caregiver ที่ผู้สูงอายุเป็นผู้ให้บริการ โดยบริการ Caregiver และ Care manager ควรส่งเสริมให้เป็นอาชีพมากกว่าเป็นสวัสดิการที่รัฐจัดให้เพียงผู้เดียว เป็นต้น