กฎหมายกับการขนส่งทางน้ำ กรอบแนวคิดหลักเศรษฐกิจสีน้ำเงิน

จากความได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ของประเทศไทยที่มีพื้นที่ทางทะเลทั้งทางฝั่งทะเลอันดามัน และอ่าวไทย ส่งผลให้ในด้านของการสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจจากกิจกรรมทางทะเล
ไม่ว่าจะเป็น การขนส่งทางทะเล การทำประมง การท่องเที่ยวทางน้ำหรือการแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล กิจกรรมทางทะเลที่สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจมากที่สุดคือ การขนส่งทางทะเล นับได้ว่าเป็นกิจการที่เอื้อประโยชน์เป็นห่วงโซ่ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจประเภทอื่นๆ อาทิ การค้าระหว่างประเทศซึ่งต้องอาศัยการขนส่งทางทะเลเพื่อการเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างรัฐเป็นหลัก
ในบทความฉบับนี้จะอภิปรายถึงการขนส่งสินค้าทางทะเล กฎหมายและแนวนโยบายที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจจากกิจกรรมดังกล่าวภายใต้หลัก “เศรษฐกิจสีน้ำเงิน” อย่างมั่นคงปลอดภัย
ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมทางทะเลในปัจจุบันและผลกระทบจากความต้องการ ในการใช้ประโยชน์จากทะเลที่มีมากขึ้นร่วมกับแผนพัฒนาความมั่นคงแห่งชาติทางทะเลพบว่า ในอนาคตประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาความมั่นคงทางทะเล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจการขนส่งทางน้ำ (ธุรกิจพาณิชยนาวี) จากสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาค นอกภูมิภาค และการกระทำผิดกฎหมายทางทะเล
หากไม่มีการเตรียมการรองรับที่เหมาะสม นอกจากจะเสียโอกาสในการพัฒนาทางเศรษฐกิจผ่านเส้นทางการขนส่งทางน้ำแล้ว ยังจะส่งผลกระทบต่อความสงบสุข ความอยู่ดีกินดีของคนในชาติ ความลื่นไหลทางการค้าและบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภาคพื้นทะเล ซึ่งจะต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจบนบกอีกด้วย
เนื่องจากธุรกิจการเดินเรือเป็นกิจการที่ดำเนินไปตลอดปี ประเด็นที่ชวนคิดพิจารณา คือ ระบบเศรษฐกิจซึ่งขับเคลื่อนผ่านธุรกิจการขนส่งทางทะเล ระบบความมั่นคงปลอดภัยในการเดินเรือ ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทะเลของเรือพาณิชย์มีความสัมพันธ์และจุดเกาะเกี่ยวต่อกันอย่างไร มีแนวนโยบายและหลักกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายที่บังคับใช้ภายในรัฐ กฎหมายระหว่างประเทศและบทบัญญัติภายในภูมิภาค
จากรายงานของ OECD เรื่อง The Ocean Economy in 2030 ประเมินว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจสีน้ำเงินในส่วนของการขนส่งทางน้ำ สร้างมูลค่าหลายล้านดอลลาร์และเกิดการจ้างงานหลายล้านตำแหน่งทั่วโลกในธุรกิจนี้ เมื่อพิจารณาถึงปัญหาและอุปสรรคที่อาจส่งผลกระทบต่อความสำเร็จและความยั่งยืนของกิจการขนส่งทางทะเล ภายใต้หลักเศรษฐกิจสีน้ำเงินแล้วมีปัญหาและความขัดแย้งดังต่อไปนี้
ประการแรก ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดนทางทะเลของประเทศในภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยเองรวมถึงเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนก็ประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน
ในเรื่องนี้จำต้องนำหลักกฎหมายทะเล ในเรื่อง อาณาเขตทางทะเล (UNCLOS: United Nation Convention of the Law of the Sea) มาพิจารณาเพื่อป้องกันปัญหาและข้อพิพาทการรุกล้ำเขตแดนทางทะเลระหว่างรัฐอันเกิดจากการกำหนดเส้นทางการเดินเรือ นอกจากนี้ควรพิจารณาไปถึงเรื่องสัญชาติของเรือพาณิชย์ดังกล่าวอีกด้วย อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องการเลือกและกำหนดสัญชาติเรืออย่างหลัก Flag of Convenience ดังเช่นสถานการณ์ตัวอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน
ประการต่อมา การก่อการร้ายทางทะเล อาจนำมาซึ่งผลกระทบต่อเส้นทางคมนาคมหลักของเรือพาณิชย์ กล่าวคือ ช่องแคบมะละกาที่เชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรอินเดีย ทะเลจีนใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิก ดังนั้น หากมีการก่อการร้ายทางทะเล เช่น การระเบิดเรือสินค้าจมในช่องทางเดินเรือที่สำคัญหรือการนำเรือสินค้าขนาดใหญ่พุ่งชนท่าเรือ ดังเช่นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทะเลแดง (The Red Sea Impact)
จะเห็นได้ว่า การกระทำของกลุ่มฮูตีส่งผลต่อความราบรื่นและต่อเนื่องของการขนส่งทางน้ำเป็นอย่างมาก อาทิ สายการเดินเรือจากทั่วโลกจำต้องเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือไปใช้เส้นทางการเดินเรือทางอ้อม หรือหากต้องการแบกรับความเสี่ยงอาจต้องเสริมในเรื่องของประกันภัยทางทะเลซึ่งล้วนแล้วแต่เพิ่มต้นทุนทั้งในด้านเชื้อเพลิง พลังงาน กำลังคนและค่าเสียเวลา ส่งผลให้ผู้บริโภคจำต้องแบกรับภาระดังกล่าวร่วมด้วย
ประการถัดมา ได้แก่ ปัญหาโจรสลัดและการปล้นเรือในทะเล เป็นภัยคุกคามต่อการเดินเรือในภูมิภาค โดยพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์โจรสลัดบ่อยครั้ง ได้แก่ ช่องแคบมะละกา ปัญหาโจรสลัดโซมาเลียก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ยังคงส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติในอาเซียน เนื่องจากเรือสินค้าของหลายประเทศในอาเซียนที่แล่นผ่านบริเวณอ่าวเอเดนและชายฝั่งโซมาเลียก็ถูกคุกคามจากโจรสลัดโซมาเลียเช่นเดียวกัน
ทั้งสองประเด็นข้างต้นชวนให้พิจารณาถึงความไม่มั่นคงปลอดภัยของกิจการการเดินเรือ อันเกิดจากการกระทำอันขัดต่อหลักเสรีภาพในการเดินเรือตามหลักกฎหมายทะเลและหลักเกณฑ์จาก International Maritime Organization: IMO ในเรื่องความปลอดภัยในการเดินเรือ รวมถึงบทบัญญัติจาก SUA Convention: Convention for the Suppression of Unlawful Acts against the Safety of Maritime Navigation
ประการสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางทะเล คือ ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม เรือขนาดใหญ่ในท่าเรือน้ำลึก เรือบรรทุกน้ำมันดิบขนาดใหญ่ เรือสินค้า สภาพความหนาแน่นของการเดินเรือดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดเรือจมขวางเส้นทางเดินเรือ และเรือชนกันมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของน้ำมัน และมลพิษในทะเลซึ่งส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล และหลักกฎหมายที่ควรนำมาพิจารณาในประเด็นนี้คือ The International Convention for the Prevention of Pollution from Ships
กล่าวโดยสรุปได้ว่า การจะประคับประคองให้กิจกรรมทางทะเลในเรื่องของการขนส่งทางน้ำ มีเสถียรภาพภายใต้หลักเศรษฐกิจสีน้ำเงินได้นั้น จำต้องคำนึงถึงเหตุปัจจัยทั้งสี่ประการที่ได้ยกตัวอย่างไว้ข้างต้น
อีกทั้งการพิจารณาหลักกฎหมายและแนวนโยบายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายที่มีบังคับใช้ในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว หลักเกณฑ์ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติแบบไม่มีผลบังคับใช้ หรือบางประเด็นที่ยังไม่มีกฎหมายออกมากำกับดูแล เป็นสิ่งที่ต้องวิเคราะห์และปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในการเดินเรือและความปลอดภัยที่จะพัฒนาไปในอนาคตอันใกล้







