‘ไทย’ ระทึกเส้นตายภาษีทรัมป์ 9 ก.ค.68 ‘พิชัย’ ถก ยูเอสทีอาร์ ลุ้นต่ออายุผ่อนปรนภาษี

‘ไทย’ ระทึกเส้นตายภาษีทรัมป์ 9 ก.ค.68 ‘พิชัย’ ถก ยูเอสทีอาร์  ลุ้นต่ออายุผ่อนปรนภาษี

“ไทย” ลุ้นระทึกเจรจาสหรัฐก่อนเส้นตาย 9 ก.ค.68 นี้ “พิชัย” หารือยูเอสทีอาร์เป็นทางการครั้งแรก พร้อมยื่นข้อเสนอเพิ่ม หวังสหรัฐต่อเวลาบังคับใช้ภาษี กกร.หวั่นภาษีทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง ห่วงไทยปิดดีลสหรัฐไม่ทันกระทบการค้า กังวลปัญหาสวมสินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐ

KEY

POINTS

Key Point

  • “พิชัย” นำทีมไทยแลนด์ หารือยูเอสทีอาร์เป็นทางการครั้งแรก วันที่ 3 ก.ค.2568 มุ่งหวังข้อตกลงที่ “win-win” ต่อทุกฝ่าย
  • ปลัดพาณิชย์ มั่นใจข้อเสนอไทยมีสัญญาณบวก
  • กกร.หวั่นภาษีทรัมป์ ฉุดเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง
  • หอการค้าไทย กังวลหากปิดดีลไม่ได้กระทบการค้า

การผ่อนผันภาษีอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐครบกำหนด 90 วัน ในวันที่ 9 ก.ค.2568 โดยจีนได้ข้อสรุปการเจรจากับสหรัฐแล้ว ในขณะที่มีหลายประเทศอยู่ระหว่างการเจรจากับสหรัฐรวมถึงไทย ซึ่งในอาเซียนยังไม่มีประเทศได้ข้อสรุปการเจรจากับสหรัฐ

ในขณะที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีกำหนดประชุมกับนายเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ในวันที่ 3 ก.ค.2568 เวลา 21.00 น. ตามเวลาไทย เพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่เก็บกับไทยจาก 36% ให้เหลือต่ำที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาไทยยื่นข้อเสนอหลายครั้ง และได้รับสัญญาณที่ดีจากฝั่งสหรัฐ

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า มั่นใจข้อเสนอของไทยจะส่งสัญญาณบวกต่อการเจรจา และไม่ได้มีเฉพาะข้อเสนอที่ไทยส่งไปก่อนหน้านี้ แต่มีข้อเสนอใหม่ที่นายพิชัย นำไปเจรจากับสหรัฐครั้งนี้ด้วย 

“สหรัฐลดภาษีให้ไทยเหลืออัตราเท่าไรขึ้นกับการพิจารณาของฝ่ายสหรัฐ แต่น่าจะเห็นความชัดเจนหลังจากที่รองนายกฯ พิชัย ได้หารือกับยูเอสทีอาร์ในวันที่ 3 ก.ค.68 นี้”

นางนลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า การเจรจาภาษีกับสหรัฐมีทิศทางดีที่ไทยได้หารืออย่างเป็นทางการก่อนถึงเส้นตายการเจรจาการค้า 90 วัน ในวันที่ 9 ก.ค.2568

“การขยายเวลาผ่อนปรนภาษีให้ไทยยังไม่ชัดเจน เพราะขึ้นกับการตัดสินใจของสหรัฐ แต่ไทยมีโอกาสได้ขยายเวลาเพราะข้อเสนอที่ไทยยื่นให้สหรัฐพิจารณาเป็นทางการได้รับการตอบรับ และระบุเป็นข้อเสนอน่าสนใจโดยไทยยึดการได้ประโยชน์ร่วมกันของ 2 ประเทศ”

ส่วนประเด็นความกังวลจากภาคเอกชน และนักลงทุนต่างประเทศหรือไม่เกี่ยวกับอัตราภาษีที่ไทยจะถูกเรียกเก็บจากสหรัฐ ประธานผู้แทนการค้าไทยระบุว่าในขณะนี้ยังไม่มีความกังวลจากภาคธุรกิจ และเอกชนที่ลงทุน

‘ไทย’ ระทึกเส้นตายภาษีทรัมป์ 9 ก.ค.68 ‘พิชัย’ ถก ยูเอสทีอาร์  ลุ้นต่ออายุผ่อนปรนภาษี

หวั่นภาษีทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ได้ประชุมเมื่อวันที่ 2 ก.ค.2568 เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจรายเดือน โดย กกร.ได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจากผลกระทบการเจรจาภาษีของสหรัฐขยายตัว 1.5-2.0% ดังนี้

1.กรณี Low tariffs เจรจาภาษีลุล่วง โดยมีการเก็บ Universal tariff อัตรา 10% จะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 2.0%

2.กรณีฐาน เจรจาลดภาษีได้บ้าง Universal tariff , Reciprocal tariff ครึ่งหนึ่งจากอัตราที่ประกาศหรือที่อัตรา 18% และลด Specific tariff จะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 1.5%

นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุม กกร.กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2568 มีปัจจัยเสี่ยงจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ และประเทศคู่ค้า รวมถึงการเก็บภาษีที่อาจส่งผลให้การส่งออกไทยหดตัวรุนแรง โดย กกร.เตรียมเข้าพบหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือ และกำหนดทิศทางเศรษฐกิจร่วมกัน

ทั้งนี้ แม้มูลค่าการส่งออกไทยช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวถึง 14.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่เป็นผลจากการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนครบระยะผ่อนปรนมาตรการภาษี 90 วัน ดังนั้น การส่งออกที่สูงไม่สะท้อนการสร้างมูลค่าเพิ่มหรือการจ้างงานในประเทศ เพราะส่วนใหญ่เป็นการนำเข้า และส่งออกในรูปแบบการสวมสิทธิเพื่อการส่งออก (transshipment) โดยใช้ไทยเป็นฐานทางผ่าน

ห่วงสวมสินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ช่วง 5 เดือนแรก ของปี 2568 การส่งออกไทยไปสหรัฐขยายตัว 27% ขณะที่การนำเข้าจากบางประเทศเพิ่มขึ้น 29% ชี้ให้เห็นว่านำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นผ่านไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ กกร.คาดว่าช่วงครึ่งหลังปี การส่งออกไทยมีแนวโน้มจะหดตัว 10% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ทำให้การส่งออกทั้งปี 2568 อาจขยายตัวใกล้เคียง 0% จะกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิต การจ้างงาน และรายได้ของแรงงานในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง

“การเจรจาภาษีกับสหรัฐเป็นหนึ่งในวาระสำคัญที่นายพิชัย มีเป้าหมายหลัก 2 ประการ 1.การปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ 2.การหาวิธีการไม่ให้ถูกลงโทษทางการค้า” นายเกรียงไกร กล่าว

นอกจากนี้ กกร.ไม่เห็นด้วยกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ถึง 2.3% โดยให้เหตุผลว่ายังไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อนที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามที่ ธปท.ประเมินไว้ กกร.ยังคงมองว่าเศรษฐกิจจะอยู่ช่วง 1.5-2.0% การส่งออกจะอยู่ที่ -0.5% ถึง 0.3% และอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 0.5-1%

หวั่นไทยปิดดีลไม่ทันกระทบการค้า

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลการเจรจาก่อนที่จะครบกำหนดวันที่ 9 ก.ค.68 นี้ จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ และต้องเปรียบเทียบกับผลที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย จะได้รับ หากการเจรจาไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมหรือไม่ได้รับการขยายเวลา อาจนำไปสู่การเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการผลิตและห่วงโซ่อุปทานของไทย

ท่ามกลางความไม่แน่นอนหลายประการนี้ กกร. จับตาผลการเจรจาภาษีอย่างใกล้ชิด หากการเจรจาได้ข้อสรุปแล้วแต่อัตราภาษีไทยสูงกว่าคู่แข่งก็เป็นเรื่องใหญ่ หรือหากเจรจาไม่จบก่อนเดดไลน์ และสหรัฐยังประกาศอัตราภาษีเหมือนที่ผ่านมา ก็จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อการค้าโลก ทำให้ดีมานด์ ซัพพลายเชนปั่นป่วน ซึ่งไทยจะได้รับผลกระทบแน่เนื่องจากเราส่งออกไปสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนกว่า 18%”

ทั้งนี้ กกร.จะเร่งเข้าพบ ธปท.สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงแนวทางในการมองเศรษฐกิจแต่ละภาคส่วน

ทั้งนี้ มีแนวคิดเสนอให้เน้นมาตรการสำคัญในระยะ 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า เพื่อพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และสร้างความเชื่อมั่น (Trust and Confidence) กลับคืนมา โดยเน้นเรื่องหลักนิติธรรม (Rule of Law) และการดูแลปกป้องภาคการผลิตและบริการภายในประเทศ

ห่วงบาทแข็ง-การเมือง ยิ่งซ้ำเติม

นอกจากนี้ กังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วมาอยู่ในช่วง 32.5 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่ากว่าประเทศในภูมิภาคและทำให้ธุรกิจแข่งขันไม่ได้ กกร. จึงขอให้ ธปท. พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และดูแลทิศทางของค่าเงินให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

รวมทั้งอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัว จำนวนนักท่องเที่ยวจีนต่ำกว่าที่คาดการณ์ และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ

“เสถียรภาพการเมืองมีความสำคัญ ซึ่งความไม่แน่นอนสร้างผลกระทบต่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจในประเทศ ทั้งเรื่องการส่งออก การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐตามแผน"

พิชัย” ชี้ไทยยึด “วิน-วิน” เจรจาสหรัฐ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภารกิจแรกในการเยือนสหรัฐครั้งนี้ คือ การพบกับ หอการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Chamber of Commerce) นำโดย Charles Freeman, Senior Vice President, Asia และคณะผู้แทนระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐที่ลงทุน และดำเนินธุรกิจในไทย

สำหรับการพบครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ โดยเฉพาะประเด็นสถานการณ์การค้าการลงทุนภายใต้นโยบายภาษีของสหรัฐ รวมถึงการหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหา และอุปสรรคที่ภาคธุรกิจเผชิญเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ทำให้ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากขึ้น

ทั้งนี้ ไทยยังคงเดินหน้าเต็มที่ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐ โดยมุ่งหวังข้อตกลงที่ “win-win” ต่อทุกฝ่าย และขอขอบคุณ USCC ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ทั้งในฐานะเวทีแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และเป็นกระบอกเสียงสะท้อนถึงรัฐบาลสหรัฐ ถึงความสำคัญของประเทศไทยในห่วงโซ่เศรษฐกิจโลก

“ผมยืนยันต่อพันธมิตรภาคเอกชนว่า รัฐบาลยังเดินหน้าสานต่อนโยบายที่ส่งเสริมการค้า และการลงทุน พร้อมรักษาบรรยากาศที่โปร่งใส เป็นมิตร และสามารถคาดการณ์ได้”

นอกจากนี้ได้ยืนยันกับหอการค้าอเมริกันว่า ไทยและสหรัฐมีเป้าหมายร่วมกันคือ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ Win-Win และเชื่อมั่นว่า ด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไทยและสหรัฐจะขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้เติบโตได้ยั่งยืน

ยื่นข้อเสนอความร่วมมือเกษตร

อีกทั้งยังได้เดินหน้าเข้าพบสมาคมผู้ส่งออกธัญพืชสหรัฐ (US Grains Council) เพื่อหารือและแสวงหาโอกาสทางการค้าด้านเกษตรกรรมเพิ่มเติมระหว่างไทย และสหรัฐโดยมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน (win-win) สำหรับทั้งสองประเทศ

ทั้งนี้ หารือให้ความสำคัญกับการยกระดับการค้าในภาคเกษตรกรรม ในขณะเดียวกันยังรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรไทยครบถ้วน ซึ่ง US Grains Council ได้แสดงความเห็นชอบว่าข้อเสนอที่นำเสนอไปนั้น ล้วนเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ครอบคลุมทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกำแพงภาษี (tariff) และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barrier)

มีข้อเสนอหลายประการจาก US Grains Council ที่เราเล็งเห็นถึงความน่าสนใจ และหวังว่าทางสมาคมฯ จะมีบทบาทเป็นพันธมิตรสำคัญในการสนับสนุนการเจรจาให้บรรลุเป้าหมายตามที่เราวางไว้” นายพิชัย กล่าว

ทัั้งนี้ การเดินทางครั้งนี้ยังคงดำเนินต่อไป โดย “ทีมไทยแลนด์” มีกำหนดการที่จะหารือต่อเนื่องเพื่อผลักดันนโยบายที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศต่อไปในอนาคต

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์