'เอกชน' หวัง กกร. จี้นายกฯ แก้วิกฤติสารโลหะหนักปนเปื้อนแม่น้ำกก

"เอกชน" ภาคเหนือตอนบน 3 สถาบัน ส่งหนังสือถึง "กกร." จี้นายกฯ เร่งแก้ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนแม่น้ำกก เผยความเสียหาย 5 ด้าน จ่อนำเข้าที่ประชุมหอการค้า 17 จังหวัดเหนือ
วันนี้ (2 กรกฎาคม 2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และ 2 ได้ส่งหนังสือถึงประธาน กกร. ซึ่งเป็นข้อเสนอเพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสุขภาพและเศรษฐกิจ จากการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง
โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่กกร.กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และ 2 ได้ติดตามสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่อย่างใกล้ชิด จึงเสนอข้อมูลและมติอันเนื่องมาจากสถานการณ์ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่ทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงระดับวิกฤติ และส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
หนังสือระบุว่า สืบเนื่องมาจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำและแร่หายาก (rare earth) ในพื้นที่ตอนใต้ของรัฐฉาน สหภาพเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกก การดำเนินงานของเหมืองดังกล่าวขาดการควบคุมและมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม มีการใช้สารเคมีอันตรายร้ายแรง อาทิ ไซยาไนด์ ในกระบวนการสกัดทองคำ และแอมโมเนียมซัลเฟต สำหรับการชะล้างแร่หายาก โดยไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐาน
ทำให้สารพิษโลหะหนักถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรง ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมยังยืนยันถึงการไร้ซึ่งมาตรฐานการป้องกัน อาทิ บ่อกักเก็บตะกอนหรือของเสีย ส่งผลให้มลพิษไหลปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง ดังปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ในรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ซึ่งตรวจพบสารพิษเกินค่ามาตรฐานในทุกจุดที่ทำการสำรวจ
ทั้งนี้ กกร.ตอนบน 1และ2 ระบุว่า ผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างความเสียหายในวงกว้างและหลายมิติ ดังนี้
1. ด้านสิ่งแวดล้อม เกิดการปนเปื้อนสารพิษในแหล่งน้ำผิวดิน และอาจส่งผลถึงแหล่งน้ำใต้ดิน ทำลายระบบนิเวศทางน้ำและริมตลิ่งอย่างรุนแรง
2. ด้านสุขภาพ ประชาชนมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพจากการอุปโภคบริโภคน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษและโลหะหนัก
3. ด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคประมง ภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อีกทั้งยังทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนและกลุ่มชาติพันธุ์ที่พึ่งพาทรัพยากรจากแม่น้ำ
4. ด้านความปลอดภัย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดดินโคลนถล่มที่อาจพัดพาสารพิษลงมาสร้างความเสียหายในวงกว้างช่วงฤดูน้ำหลาก
ในเนท้อหาของหนังสือ ระบุว่า "ด้วยตระหนักถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงดังกล่าว กกร.กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และ 2 จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ในการนำเสนอประเด็นปัญหาวิกฤตนี้ต่อประธานฯ เพื่อโปรดพิจารณานำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อรับทราบและบัญชาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเจรจาและประสานงานอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอความร่วมมือไปยังเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการทำเหมืองที่มิได้มาตรฐานและขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีรายงานถึงการเข้าไปลงทุนและใช้แรงงานจากสาธารณรัฐประชาชนจีน"
ในหนังสือ ยังระบุว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และ 2 หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเสนอดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาและผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและเร่งด่วนที่สุดเพื่อปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพของประชาชน ตลอดจนรักษาฐานเศรษฐกิจของภาคเหนือไว้
นายคงศักดิ์ ธรานิศร ประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 กล่าวว่า ได้ประสานงานในพื้นที่และสมาชิกต่างเห็นว่าต้องผลักดันปัญหาเรื่องแม่น้ำกกและแม่น้ำสายปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินมาตรฐานโดยใช้กรอบ กกร. 3 ฝ่าย ที่เป็นเสาหลักของภาคเอกชน เพื่อยื่นข้อเสนอไปยังรัฐบาลได้อย่างมีน้ำหนัก โดยในวันเดียวกันนี้มีประชุมคณะกรรมการ กกร.กลาง ซึ่งก็ได้ฝากเรื่องนี้ไปเป็นวาระการประชุมเรื่องหนึ่ง และได้แนบเอกสารผลตรวจของคพ.ไปทั้งหมดแล้ว โดยพบว่ามีการปนเปื้อนสารโลหะหนักสูงเกินค่ามาตรฐาน คือสารหนู ตะกั่ว และปรอท
"ผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกด้าน แม้จะมีการเสนอมาตรการกระตุ้นก็ช่วยไม่ได้ตราบที่เรายังคงมีสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำ เพราะคนทั่วไปไม่ทราบว่าสารหนูจากน้ำกกกระจายไปที่ไหนบ้างและก็ยังเหมารวมไปทั้งหมด ต้องแก้ที่กระดุมเม็ดแรกคือยุติการปล่อยสารโลหะหนักจากต้นทางโดยน้ำกกมีความยาว 285 กม. ไหลไปลงแม่น้ำโขง ไปถึง 7 จังหวัดอีสาน ซึ่งสารโลหะหนักเหล่านี้อาจกระจายไปได้ ขณะนี้อีสานยังไม่ได้ตรวจ หากตรวจก็จะทราบว่ามีหรือไม่"
สำหรับการแก้ปัญหาที่กระชับที่สุดคือยุติการดำเนินการของเหมือง ที่เชียงรายก็คุยกันว่าต้องให้ต้นสังกัด คือ จีน ต้องมาดำเนินการ ดังเช่นที่ทางการจีนได้มาจัดการขบวนการแก็งค์คอลเซนเตอร์ อีก 2 วันจะมีการประชุมของหอการค้าจังหวัดภาคเหนือ 17 จังหวัด ก็จะหารือเรื่องนี้ บอกตรงๆ ขณะนี้เราพึ่งภาครัฐแทบไม่ได้เลย ก็ต้องทำตามศักยภาพที่ทำได้







