ไทยหวัง ล็อบบี้ยิสต์ หนุนเจรจาภาษี 'ปณิธาน' ชี้ประเมินคุ้มค่ายาก

“นักวิชาการ - เอกชน” แนะไทยกำหนดเงื่อนไขจ้างล็อบบี้ยิสต์หารือสหรัฐ ผ่อนผันภาษี “ปณิธาน” ชี้ใช้ล็อบบี้ยิสต์ไม่ผิด ห่วงประเมินความคุ้มค่ายาก
KEY
POINTS
- “นักวิชาการ-เอกชน” แนะไทยกำหนดเงื่อนไขจ้างล็อบบี้ยิสต์หารือสหรัฐ ผ่อนผันภาษีขั้นต่ำ 10-15% พร้อมยืดเวลาอีก 1 ปี
- “ปณิธาน” ชี้ใช้ล็อบบี้ยิสต์หลายประเทศใช้ในเงื่อนไขต่างๆกัน แต่ไม่ค่อยใช้ในการเจรจาภาษีและการค้า ห่วงประเมินความคุ้มค่ายาก
- เผยมีกลไก Friend of America ช่วยเจรจาได้ หากกต.ประสานงานได้ดีพอ
- “ส.อ.ท.-หอการค้า” หนุนจ้างล็อบบี้ยิสต์ช่วยเจรจา ทันเส้นตาย 9 ก.ค. นี้
สัปดาห์นี้คณะผู้แทนรัฐบาลไทยเดินทางเยือนสหรัฐ เพื่อเปิดเจรจาครั้งสำคัญเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งภาคเอกชนไทยกังวล และอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคการส่งออก และการลงทุน โดยเฉพาะเมื่อเส้นตายการเจรจาเพื่อขอผ่อนผันมาตรการภาษีดังกล่าวใกล้เข้ามาในวันที่ 9 ก.ค.2568
สำหรับประเด็นอัตราค่าจ้างที่ปรึกษาหรือล็อบบี้ยิสต์ โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าปกติอัตราการว่าจ้างลอบบี้ยิสต์ในสหรัฐอยู่ที่ 20,000-300,000 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับการให้บริการทั่วไป ในขณะที่การดำเนินนโยบายระหว่างประเทศต้องอาศัยความเข้าใจเชิงเทคนิค และความกล้าที่จะตัดสินใจในเวลาที่เหมาะสม
ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ กล่าวว่า การที่รัฐบาลว่างจ้างล็อบบี้ยิสต์ช่วยเจรจาภาษีกับสหรัฐเป็นแนวทางหลายประเทศเพื่อเจรจา
ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นการเจรจาความมั่นคง และการทหาร เช่น อิสราเอลจ้างล็อบบี้ยิสต์เพื่อให้สหรัฐสนับสนุนการทหารในตะวันออกกลาง หรือไต้หวันว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์เพื่อให้สนับสนุนให้สหรัฐขายอาวุธให้ แต่ยังไม่ค่อยเห็นการว่างจ้างล็อบบี้ยิสต์เพื่อสนับสนุนการค้า และการพาณิชย์ของแต่ละประเทศมากนัก
รวมทั้ง ที่ผ่านมาไทยจ้างล็อบบี้ยิสต์ไม่มากนัก และส่วนใหญ่ใช้ในการโปรโมต และสนับสนุนการจัดกิจกรรมทางการตลาด การท่องเที่ยว หรือการดึงดูดการลงทุน ซึ่งไทยไม่เคยใช้กลไกนี้ในการเจรจาการค้า และภาษีมาก่อน
ส่วนประโยชน์จากการว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ประเมินความคุ้มค่าได้ยาก เพราะแม้ไทยได้คิวเจรจาการค้ากับสหรัฐ แต่ผ่านระยะเวลามาเนิ่นนานจนเกือบจะถึงเส้นตายในวันที่ 9 ก.ค.2568
รวมทั้งหากการใช้ล็อบบี้ยิสต์ได้ผลควรได้คิวการเจรจานานแล้ว แต่ไทยถูกเลื่อนเจรจาออกไป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ให้ข้อมูลเองว่าการเจรจาล่าช้ามาจากการที่สำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐ (USTR) มีหลายประเทศรอคิวการเจรจา และ USTR มีเจ้าหน้าที่ไม่พอช่วงนี้
“การใช้กลไกที่มีตามปกติ คือ ยื่นหนังสือขอเจรจาแล้วรอคิวแต่มีความไม่แน่นอนสูง ขณะที่การใช้ล็อบบี้ยิสต์ทำให้ได้โอกาสเจรจามากขึ้น แต่เงื่อนไขแบบนี้ปกติแล้วไม่เปิดเผยว่า จะใช้งบประมาณเท่าไรจากส่วนไหน ส่วนกรณีต้องการลดความสงสัยในสังคมถึงความคุ้มค่า รมว.คลัง ควรเปิดเผยรายละเอียดเพื่อความโปร่งใส”
ทั้งนี้ ถ้าจะให้เกิดความคุ้มค่าในการจ้างล็อบบี้ยิสต์นั้นรัฐบาลควรกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้ล็อบบี้ยิสต์ช่วยเจรจากับรัฐบาลสหรัฐเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าไทยขอขยายเวลาเจรจาของไทยออกไปก่อน 1 ปี และระหว่างที่ขยายเวลาออกไปขอให้ใช้มาตรการทางภาษีระดับต่ำสุดที่ 10-15% ซึ่งความชัดเจนนี้จะช่วยให้เอกชนตัดสินลงทุนได้เร็วขึ้น
สำหรับกลไกอื่นที่จะช่วยการเจรจาการค้า และภาษีให้ไทยในสถานการณ์นี้ยังมีกลไก “Friends of America” ที่มีทั้ง สส.และ สว.สหรัฐเป็นสมาชิก ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศมีคอนเนกชันกับกลุ่มนี้น่าที่จะประสานงานให้ช่วยรัฐบาลเจรจากับสหรัฐแต่ละระดับ
ส.อ.ท.หนุนจ้าง “ล็อบบี้ยิสต์" ช่วยเจรจา
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเจรจาก่อนถึงเส้นตาย วันที่ 9 ก.ค.2568 โดยเอกชนกังวลจะไม่ทันกำหนดเส้นตาย และหวังว่าคงไม่ใช่ไทยประเทศเดียว เพราะมีหลายประเทศรอเจรจา และยังเจรจาไม่เสร็จ ดังนั้นหากเป็นตามที่นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ระบุว่าอาจขยายเวลาอีก 90 วัน จะทำให้ไทยมีเวลาหายใจ
ทั้งนี้ การขยายเวลาใช่เป็นเรื่องดีเพราะทุกคนยังต้อง wait and see รอดูสถานการณ์ และชะลอการลงทุน โดยเอกชนเสนอตั้งแต่ช่วงที่สหรัฐประกาศอัตราภาษี คือ
1.การเตรียมล็อบบี้ยิสต์ที่เข้มแข็งเพื่อเตรียมแนวทางรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐ หวังลดผลกระทบการส่งออกไทย และรับมือผลกระทบทางอ้อมเพราะทรัมป์เปลี่ยนระบบการค้าแบบพหุภาคีเป็นทวิภาคี ซึ่งรัฐบาลต้องมีล็อบบี้ยิสต์ที่ดีในการเจรจาแลกเปลี่ยนผลกระโยชน์แบบ win-win
2.หาตลาดใหม่เพิ่มเติมเพื่อรองรับสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐ เพราะหากยังมุ่งเป้าส่งออกตลาดเดิมจะเป็นความเสี่ยง โดยช่วงทรัมป์ 1.0 จีนหาตลาดใหม่ และทำให้ลดพึ่งพาตลาดสหรัฐลงมาก และมุ่งเป้ามายังตลาดอาเซียน
หวั่นเจรจาช้าไทยเสียโอกาสดึงลงทุน
นายเกรียงไกร กล่าวว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ปี 2567 นักลงทุนให้ความเชื่อมั่นผ่านการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มากที่สุด 1.13 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย และหากไทยมีล็อบบี้ยิสต์ที่ดีจะช่วยให้การเจรจาสำเร็จง่ายขึ้น
“ส.อ.ท.ประเมินว่า หากสหรัฐคงอัตราภาษีที่ 10% การส่งออกของไทยจะเติบโต 0.3-0.9% และ GDP อยู่ที่ 1.4-1.9% แต่หากสถานการณ์เลวร้ายที่สุด สหรัฐเก็บภาษี 36% การส่งออกอาจติดลบถึง 2% และ GDP อาจต่ำกว่า 1%” นายเกรียงไกร กล่าว
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังขึ้นกับผลเจรจาภาษีกับสหรัฐเป็นสำคัญ โดย ส.อ.ท.มองสถานการณ์ออกเป็น 2-3 ฉากทัศน์ หากไทยเจรจาต่อรองลดภาษีจาก 36% เหลือ 10% ได้ เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ แต่หากลดได้ไม่มากหรือประเทศคู่แข่งลดได้มากกว่าไทยอาจกระทบการส่งออกไทยมาก
“หอการค้า” รับล็อบบี้ยิสต์สหรัฐราคาสูง
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลไทยจ้างล็อบบี้ยิสต์ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยค่าจ้างแต่ละบริษัทไม่เหมือนกันอยู่ที่การต่อรองราคาหรือความสำคัญของดีล บางเรื่องต้องจ่ายเป็นรายชั่วโมงบางเรื่องก็จ่ายแบบเหมา
โดยการดีลราคานั้นขึ้นกับเรื่องที่จะต้องต่อรอง และความยากง่าย แต่ต้องเข้าใจตรงกันว่าค่าทนายในสหรัฐแพงมาก เช่น บริษัทไทยที่โดนมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD)ทำให้ต้องว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ไปเคลียร์กว่าจะจบหรือปิดดีลได้ต้องใช้เงินไปกว่า 200 ล้านบาท
สำหรับกรณีภาษีตอบโต้ที่ไทยจ้างล็อบบี้ยิสต์เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อปูทางการเจรจา และการไปต่อรองภายในหน่วยงานของสหรัฐที่ไทยเองทำไม่ได้
“พิชัย” นัดเจอ “ยูเอสทีอาร์” 3 ก.ค.นี้
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายพิชัย นำคณะผู้แทนทีมไทยแลนด์ประกอบด้วยกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.สหรัฐ คืนวันที่ 30 มิ.ย.2568 เพื่อเจรจามาตรการภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐ ประกอบด้วย
1.การประชุมหารือกับนายเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ วันที่ 3 ก.ค.2568 เวลา 21.00 น. ตามเวลาไทย เพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่เก็บกับไทยจาก 36% ให้เหลือต่ำที่สุด โดยไทยยื่นข้อเสนอหลายครั้ง และได้รับสัญญาณดีจากสหรัฐ
2.การเข้าพบหารือกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนของสหรัฐอีก 2-3 หน่วยงาน
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการคาดหวังการเจรจาครั้งนี้ ว่า การเจรจารอบนี้น่าจะสรุปคำตอบมาหลายหัวข้อ เพราะมีเนื้อหา และรายละเอียดที่สำคัญหลายเรื่อง และจากที่เจรจามา 1 รอบ ได้ดูรายละเอียดว่าปรับได้อย่างไร โดยคาดหวังอัตราภาษีที่สหรัฐจัดเก็บขอยังไม่บอกเป็นตัวเลข แต่ทางคณะเจรจาจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







