ขนส่งสินค้าทางอากาศฟื้น 100% ทอท.หาทุนใหม่ รับดีมานด์ 2.7 ล้านตัน

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเปิดปริมาณการขนส่งทางอากาศฟื้นตัวมากกว่า 100% ขนส่งระหว่างประเทศรวมมากว่า 1.4 ล้านตัน ด้าน ทอท.เร่งขยายธุรกิจคาร์โก้รับดีมานด์เติบโต เปิดหาเอกชนร่วมทุนเป็นผู้ประกอบการรายที่ 3 หวังดันขีดความสามารถ “สุวรรณภูมิ” ฮับภูมิภาค รับขนส่งมากกว่า 2.7 ล้านตันต่อปี
KEY
POINTS
- สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเปิดปริมาณการขนส่งทางอากาศฟื้นตัวมากกว่า 100% ขนส่งระหว่างประเทศรวมมากว่า 1.4 ล้านตัน
- ทอท.เร่งขยายธุรกิจคาร์โก้รับดีมานด์เติบโต เปิดหาเอกชนร่วมทุนเป็นผู้ประกอบการรายที่ 3 หวังดันขีดความสามารถ "สุวรรณภูมิ" ฮับภูมิภาค รับขนส่งมากกว่า 2.7 ล้านตันต่อปี
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) รายงานสภาวะอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย โดยพบว่าในปี 2567 การขนส่งสินค้าทางอากาศฟื้นตัวมากกว่า 101.63% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 โดยมีปริมาณการขนส่งสินค้าแบ่งออกเป็น
- การขนส่งภายในประเทศ 30.50 พันตัน หรือคิดเป็นประมาณ 3 หมื่นตัน
- การขนส่งระหว่างประเทศ 1,484.75 พันตัน หรือคิดเป็นประมาณ 1.4 ล้านตัน
อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ (คาร์โก้) ส่งผลให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ซึ่งเป็นประตูด่านแรกในการรองรับตู้สินค้าเหล่านี้ ได้เล็งเห็นโอกาสในการขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยาน เพื่อให้รองรับต่อดีมานด์การขนส่งที่เพิ่มมากขึ้น และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศของภูมิภาคนี้
โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่พบว่าเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของเที่ยวบินขนส่งสินค้าทางอากาศ ทำให้ ทอท.ได้ออกประกาศสรรหาเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นรายที่ 3 ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ พ.ศ. 2562 คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ก.ค. 2568 และมีเป้าหมายลงนามสัญญาร่วมลงทุนภายในเดือน เม.ย.2569
นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง รักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.กล่าวว่า ขณะนี้ ทอท.อยู่ระหว่างเปิดประมูลโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 โดยมีผู้ยื่นข้อเสนอแล้วอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ พ.ศ. 2562 คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ก.ค.2568
ขณะเดียวกัน ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้ ทอท.ดำเนินการเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการรัฐ (พีพีพี) ในโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 เพื่อทดแทนเอกชนสัญญาเดิมที่กำลังจะครบกำหนดสัญญาในเดือน ต.ค.2569 ซึ่ง ทอท.จะเร่งดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนในโครงการนี้ เนื่องจากบริการคลังสินค้าถือเป็นส่วนสำคัญที่ต้องรองรับความต้องการในการขนส่งสินค้าที่กำลังขยายตัวอย่างมากในปัจจุบัน
“หากได้เอกชนรายใหม่ เมื่อประมูลแล้วเสร็จเอกชนก็จะมีเวลาในการเตรียมพร้อมประมาณ 6 เดือน เพื่อเริ่มดำเนินการต่อจากเอกชนรายเดิม แต่หากประมูลแล้วเอกชนรายเดิมเป็นผู้ชนะ ก็จะสามารถบริหารงานต่อได้ทันที โดย ทอท.ยังคาดหวังว่าสัญญาใหม่นี้ จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยี ระบบ AI เข้ามาบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถรองรับสินค้ามากขึ้นเป็นเท่าตัว”
ทั้งนี้ ปัจจุบันคลังสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีขีดความสามารถรองรับสินค้าอยู่ที่ 2.2 ล้านตันต่อปี โดยเฉพาะส่วนของผู้ประกอบการรายที่ 2 มีขีดความสามารถรองรับอยู่ที่ 5 แสนตันต่อปี ดังนั้นหากผู้ประกอบการรายที่ 2 นำระบบ AI เข้ามาบริหารจัดการคลังสินค้า ก็จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถเป็นเท่าตัว หรือราว 1 ล้านตันต่อปี และหากรวมผู้ประกอบการรายที่ 3 แน่นอนว่าจะเพิ่มขีดความสามารถคลังสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมากกว่า 2.7 ล้านตันต่อปี
อย่างไรก็ดี ทอท. ได้ประมาณการณ์รายได้ของโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ทสภ. ของผู้ประกอบการรายที่ 3 แบ่งเป็น
ปีที่ 1
- รายได้จากการให้บริการสินค้าเน่าเสียง่าย 82.04 ล้านบาท
- รายได้จากการให้บริการสินค้าทั่วไป 167.70 ล้านบาท
- รายได้รวม 249.74 ล้านบาท
ปีที่ 5
- รายได้จากการให้บริการสินค้าเน่าเสียง่าย 200.24 ล้านบาท
- รายได้จากการให้บริการสินค้าทั่วไป 713.62 ล้านบาท
- รายได้รวม 913.87 ล้านบาท
ปีที่ 10
- รายได้จากการให้บริการสินค้าเน่าเสียง่าย 292.33 ล้านบาท
- รายได้จากการให้บริการสินค้าทั่วไป 1,643.36 ล้านบาท
- รายได้รวม 1,935.69 ล้านบาท
ปีที่ 15
- รายได้จากการให้บริการสินค้าเน่าเสียง่าย 369.45 ล้านบาท
- รายได้จากการให้บริการสินค้าทั่วไป 2,310.14 ล้านบาท
- รายได้รวม 2,679.59 ล้านบาท
ปีที่ 20
- รายได้จากการให้บริการสินค้าเน่าเสียง่าย 407.91 ล้านบาท
- รายได้จากการให้บริการสินค้าทั่วไป 2,709.67 ล้านบาท
- รายได้รวม 3,117.58 ล้านบาท
ปีที่ 25
- รายได้จากการให้บริการสินค้าเน่าเสียง่าย 450.36 ล้านบาท
- รายได้จากการให้บริการสินค้าทั่วไป 2,991.69 ล้านบาท
- รายได้รวม 3,442.06 ล้านบาท
รวม
- รายได้จากการให้บริการสินค้าเน่าเสียง่าย 7,861.40 ล้านบาท
- รายได้จากการให้บริการสินค้าทั่วไป 46,203.16 ล้านบาท
- รายได้รวม 54,064.56 ล้านบาท







