ม.หอการค้าไทย หั่นจีพีดีไทยปี 68 เหลือ 1.7 % หลังเจอปัจจัยรุมเร้าสารพัด

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯม.หอการค้า เผย เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังเจอปัญหาสารพัด ฉุดจีพีดีไทย ทั้งสงครามการค้า กำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา,เสถียรภาพรัฐบาล ประสิทธิภาพการใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมปรับคาดการณ์จีดีพี ปี 68 เหลือ 1.7 %
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเจอปัญหาสารพัด ทั้งสงครามการค้า กำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา,เสถียรภาพรัฐบาล ประสิทธิภาพการใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ศูนย์พยากรณ์ ฯ ปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจปี 2568 ลงจาก 3% เหลือ1.7%
การที่ปรับเป้าจีดีพีปี 68 อยู่ที่ 1.7 % อยู่ภายใต้สมมุติฐาน หากไม่มีสถานการณ์ใดมาแทรกแซงเพิ่มเติม ทั้งเรื่องภาษีตอบโต้สหรัฐที่เรามองว่าจะโดนภาษีเพียง 10 % หรือ 10-15 % โดยในขณะนี้ไทยกำลังเจรจาสหรัฐ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 10 วัน ก่อนเส้นตาย 8 ก.ค.แต่หากการเจรจาไม่เสร็จก็หวังว่าสหรัฐจะขยายเวลาออกไป ความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล และชายแดนกัมพูชาคลี่ลายได้เร็ว รวมทั้งนายกรัฐมนตรีสามารถอยู่ได้จบครบวาระ ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพและสามารถเบิกจ่ายงบได้50% ขณะที่การส่งออกทั้งปีเติบโตเป็นอัตราบวก 2.5%
อย่างไรก็ตามจีดีพีปีนี้ยังมีแนวโน้มที่จะผัวผวนจากเป้าหมาย 1.7% โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยแบ่งเป็น กรณีฐาน (Base Case) ภาษีสหรัฐเก็บจากสินค้าไทยที่ระดับ 15-20% ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านคลี่คลายได้เร็ว ความตึงเครียดพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาคลี่คลายได้เร็วเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 50% ในปี 2568 และนายกรัฐมนตรียังในตำแหน่งตลอดปี 2568 ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น 55%
กรณีที่แย่กว่า คาดว่า จีดีพีโต 1.3 % หากสหรัฐเก็บภาษีไทยที่ 25-30 % ความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล คลี่คลายได้เร็ว ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา ยืดเยื้อระดับปานกลาง การเบิกจ่ายงบได้ 50 % ในปี 68 การเมืองไม่มีเสถียรภาพ
กรณีแย่ที่สุด คือ จีดีพีอาจโตลดลงเหลือเพียง 0.9% หากการเมืองไทยไร้เสถียรภาพ โดยนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภา ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้แค่ 25% , สหรัฐฯประกาศเก็บภาษีไทยในอัตรา 25-30% และชายแดนกัมพูชาตรึงเครียดจนต้องปิดด่าน 100% ตลอดปีนี้
กรณีที่ดีที่สุด คาดว่าจีดีพีปีนี้อาจจะเติบโตได้ 2.3% ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของม.หอการค้าไทย โดยกรณีนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น นายกรัฐมนตรีจะต้องอยู่บริหารประเทศจนถึงสิ้นปีนี้ทำให้สามารถเบอกจ่ายงบประมาณได้ 75% สหรัฐประกาศเก็บภาษีไทยเพียง 10% รวมทั้งความขัดแย้งไทย- กัมพูชา และสงคราม อิสราเอล อิหร่าน จบลงเร็ว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ทั้งนี้ยังประเมินผลกระทบจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หากสถานการณ์คลี่คลายเร็วภายใน 1 เดือน การส่งออกไทยจะหายไป 11,659 ล้านบาท ฉุดให้จีดีพีไทยลดลง 0.06% แต่หากขัดแย้งรุนแรง มีการปิดด่านจนถึงสิ้นปีนี้ การส่งออกไทยจะหายไป 69,952 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลดลง 0.38 %
ส่วนกรณีคลิปเสียงหลุดของนายกรัฐมนตรี ได้ประเมินผลกระทบเป็น3กรณี คือ1.หากนายกอยู่ต่อตลอดทั้งปี ใช้งบประมาณได้ต่อเนื่อง และสามารถผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ได้ จะทำให้จีดีพี ลดลง 0.06% 2.มีนายกคนใหม่พรรคแกนนำเดิม อาจทำให้งบปี 2569 อาจล่าช้าออกไป 2-3 เดือน จีดีพีอาจลดลง 0.20% และ3.นายกฯยุบสภา อาจทำให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า 3-6 เดือน ต้องเริ่มขบวนการงบประมาณปี2569ใหม่ คาดว่าจีดีพีลดลง 0.66%
กรณีสงคราม อิหร่าน-อิสราเอล แบ่งออกเป็น 3 กรณีเช่นกัน 1.ความขัดแย้งคลี่คลายได้เร็ว จะทำให้จีดีพีลดลง 0.07% 2.ความขัดแย้งยืดเยื้อระดับปานกลาง จีดีพีลดลง 0.59 %และ3.ความขัดแย้งบานปลายและรุนแรง อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซและเกิด สงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาค คาดว่าจะทำให้จีดีพีไทยปรับลดลง 1.07%
กรณีการเก็บภาษีตอบโต้ของสหรัฐ แบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ 1.จัดเก็บอัตรา 10%จะกระทบส่งออก 74,055 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลดลง 0.40% 2.จัดเก็บภาษี 15-20% กระทบส่งออก131,806 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลง 0.71% และ3.จัดเก็บภาษี 25-30% กระทบส่งออก201,860 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลดลง1.09 %
นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่เป็นความไม่แน่นอน ซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยใช่ครึ่งหลังปี 2568 ประกอบด้วย
1.มาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยมีความไม่แน่นอนเรื่องอัตราภาษีที่ไทยจะสามารถเจรจาต่อรองได้
2. ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งมีนัยต่อราคาน้ำมันดิบ อัตราเงินเฟ้อ และนโยบายการเงิน
3.ความตึงเครียดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีผลต่อการลดเวลาเปิด-ปิดด่าน และการห้ามนำเข้าสินค้าบางรายการ
4. ประสิทธิผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้งบ 1.57 แสนล้านบาท ขึ้นกับการเบิกจ่ายงบกระตุ้นในโครงการดังกล่าว
5.เสถียรภาพของรัฐบาลแพทองธาร ภายหลังกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซ็น
จากภาพรวมดังกล่าทำให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะขยายตัวได้ราว 1.7% ส่วนมูลค่าการส่งออก คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.5% การนำเข้า 2.5% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 0.5% การลงทุนภาครัฐ โต 6% การลงทุนภาคเอกชน -1.2% การบริโภคภาครัฐ โต 1.3% การบริโภคภาคเอกชน โต 2.4% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1.69 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ระดับ 87.4% ต่อจีดีพี







