เปิดโมเดลกระจายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ พื้นที่รายได้ต่ำได้งบฯสูง

เปิดโมเดลกระจายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ  พื้นที่รายได้ต่ำได้งบฯสูง

เปิดโมเดลกระจายเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้าน รัฐเล็งเป้า "ภูมิภาคยากจน" เป็นอันดับแรก โดยใช้หลักเกณฑ์ให้ "พื้นที่ที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ" เพื่อกระจายความเจริญ

KEY

POINTS

  • เปิดโมเดลกระจายเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก 1.15 แสนล้านบาทของรัฐบาล ใช้วิธีให้งบฯพื้นที่ที่ผลิตภัณฑ์จังหวัด (GRP) ต่ำมาก GRP สูงได้งบฯน้อย 
  • การจัดสรรงบฯให้อีสานได้มากสุด ได้รับงบประมาณ 32,727 ล้านบาท คิดเป็น 1.81% ต่อ GRP สูงสุดในประเทศ แม้รายได้ต่อหัวอยู่ในระดับต่ำเพียง 99,271 บาทต่อปี
  • เมืองใหญ่ ได้งบสัดส่วนน้อยแม้เศรษฐกิจใหญ่กรุงเทพฯ และภาคตะวันออก ซึ่งมีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยเกิน 4 แสนบาท ได้รับงบในสัดส่วนต่ำสุดเพียง 0.34% และ 0.21% ต่อ GRP ตามลำดับ
  • การจัดงบแบบนี้มีเป้าหมายเพื่อลดเหลื่อมล้ำ ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ ด้วยการอัดฉีดงบสู่จังหวัดยากจนและเศรษฐกิจขนาดเล็ก เพื่อเร่งการขยายตัวในระดับฐานราก

 

รัฐบาลได้เริ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงินงบประมาณที่มีอยู่ในส่วนของงบกลางรายการเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 วงเงิน 1..57 แสนล้านบาท โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ได้ผ่านความเห็นชอบวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรกวงเงิน 115,375  แสนล้านบาท

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่าวงเงินในส่วนแรกนี้จะมีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ประมาณ 0.4% และช่วยจ้างงานกว่า 7.4 ล้านตำแหน่ง ทั้งนี้ในการกระจายเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจนั้นได้มีการกำหนดหลักการ 6 ข้อเพื่อให้เม็ดเงินกระจายลงไปในพื้นที่ต่างๆเพื่อให้เกิดผลบวกต่อเศรษฐกิจมากที่สุดได้แก่

1.เม็ดเงินที่ผ่านการพิจารณากระจายไปยังภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ มีการกระจายวงเงินงบประมาณลงในพื้นที่ที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ ในสัดส่วนที่สูงกว่าพื้นที่อื่น โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ และภาคกลาง ซึ่งมีรายได้ต่อหัวสูง จะได้รับการจัดสรรงบประมาณในสัดส่วนที่น้อยกว่า

2.เม็ดเงินกระจายไปทั่วประเทศ ทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ : การกระจายงบประมาณมีความทั่วถึงทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ โดยทุกพื้นที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านน้ำและคมนาคม ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลางถึงระยะยาว

3.จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ (ยากจน) ได้รับวงเงินสูงกว่าโดยเปรียบเทียบ : การกระจายวงเงินงบประมาณให้ความสำคัญกับจังหวัดที่ยากจน โดยจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำหลายจังหวัด ได้รับวงเงินที่ผ่านการพิจารณามากกว่าจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวสูง

4.จังหวัดที่มีขนาดของเศรษฐกิจเล็ก จะได้รับผลกระทบเชิงบวกสูงกว่าจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ :
จากการกระจายงบประมาณ พบว่า จังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กได้รับวงเงินมากกว่าจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ ส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากกว่า

5.เม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ก่อให้เกิดผลเชื่อมโยงไปยังสาขาเศรษฐกิจต้นน้ำและปลายน้ำ (Forward และ Backward Linkage) : เช่น สาขาก่อสร้าง สาขาค้าปลีกค้าส่ง สาขาการเงิน และบริการอื่น ๆ เป็นต้น

และ 6.เม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านคน  โดยมีวงเงินสนับสนุนการจ้างงานรวม 34,008 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของเม็ดเงินรวมที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ที่ 115,375 ล้านบาท

ในส่วนของการกระจายวงเงินลงไปในภูมิภาคต่างๆนั้น การกระจายงบประมาณจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุด มูลค่ารวมกว่า 115,375 ล้านบาท รัฐบาลมุ่งเน้นการสนับสนุนภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ได้รับเม็ดเงินในสัดส่วนสูงสุดเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภูมิภาค (GRP)

จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง ระบุว่าในการจัดสรรงบประมาณลงสู่ภูมิภาคต่างๆ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ได้รับเม็ดเงินถึง 32,727 ล้านบาท คิดเป็น 1.81% ของ GRP ในพื้นที่ ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงที่สุดในประเทศ โดยภาคอีสานมีรายได้ต่อหัวอยู่ 99,271 บาทต่อคนต่อปี ต่ำกว่าทุกภูมิภาคจึงได้รับการจัดสรรงบประมาณมากที่สุดตามเกณฑ์ที่กรรมการกำหนดไว้

ในทางตรงกันข้าม กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมี GRP สูงที่สุดที่ 8.57 ล้านล้านบาท และรายได้ต่อหัวเฉลี่ยสูงถึง 488,534 บาทต่อคนต่อปี กลับได้รับงบประมาณเพียง 29,878 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.34% ต่อ GRP เท่านั้น เช่นเดียวกับภาคตะวันออกที่ได้เพียง 0.21% ต่อ GRP ต่ำสุดในประเทศ แม้มีรายได้เฉลี่ยสูงถึง 496,847 บาทต่อคนต่อปี

ในส่วนลำดับสัดส่วนการจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ (GRP) เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่

  1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  1.81% ต่อ GRP
  2. ภาคตะวันตก  1.42% ต่อ GRP
  3. ภาคเหนือ  1.33% ต่อ GRP
  4. ภาคใต้  0.98% ต่อ GRP
  5. ภาคกลาง  0.45% ต่อ GRP
  6. กรุงเทพฯ และปริมณฑล  0.34% ต่อ GRP
  7. ภาคตะวันออก 0.21% ต่อ GRP

ทั้งนี้จะเห็นว่าการกระจายงบในลักษณะนี้สะท้อนเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคที่มีศักยภาพแต่ยังขาดการลงทุน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รายได้ประชากรยังอยู่ในระดับต่ำ