อิหร่าน VS ตะวันตก...จุดเริ่มต้น ที่ยังไม่จบ?! | มองโลกมองเรา

จากการสู้รบหว่างอิหร่านและอิสราเอล วันที่ 22 มิถุนายน 2568 สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมสงคราม โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งให้โจมตีอิหร่าน และอ้างว่าได้ถล่มโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งสำเร็จ
ผู้เขียนขอเชิญชวนท่านผู้อ่านมาทบทวนประวัติศาสตร์บางตอน เกี่ยวกับรากเหง้าความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและตะวันตก
"...would rather be fried in Persian oil than make the slightest concession for the British!" เป็นภาพนิยาม Mohammad Mossadegh อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอิหร่าน ที่ครองอำนาจระหว่างปี 2494-2496 โดยหนังสือพิมพ์ Frankfurter Neue Presse ของเยอรมนี
มีความหมายความว่า “เขายินดีที่จะถูกทอดเผาไหม้แหลกราญบนน้ำมันของเปอร์เซีย มากกว่าการยอมให้สัมปทานแม้เพียงน้อยนิดแก่พวกอังกฤษ..” แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของอดีตผู้นำประเทศอิหร่าน ผู้ยอมหัก แต่ไม่ยอมงอ ให้ชาติมหาอำนาจมาแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของแผ่นดินมาตุภูมิ
อิหร่านเป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก อย่างไรก็ดี ก่อนการขึ้นสู่อำนาจของอดีตนายกรัฐมนตรี Mossadegh อุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่านอยู่ภายใต้การควบคุมของอังกฤษมานับแต่ปี 2456 ผ่านการบริหารจัดการของบริษัท Anglo-Persian Oil Company (APOC) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น British Petroleum (BP) โดยกำไรจากการขายน้ำมันเกือบทั้งหมดเข้าสู่ APOC
ในขณะที่ประเทศอิหร่านซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากร ได้รับผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น การค้าน้ำมันจากแผ่นดินอิหร่าน ทำให้อังกฤษร่ำรวยมหาศาลจนสามารถครองความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลกแห่งยุค ในขณะที่ประชาชนชาวอิหร่านมีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นและยากจน
ปี 2494 ในฐานะผู้นำประเทศ Mossadegh ได้ยกเลิกการให้สัมปทานฯกับบริษัท APOC การสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล ทำให้อังกฤษเรียกร้องให้ศาลโลกและองค์การสหประชาชาติลงโทษรัฐบาลอิหร่าน ต่อมามีการส่งเรือรบไปยังอ่าวเปอร์เซีย และใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
ปี 2496 เพียงสองปีของการบริหารประเทศ รัฐบาล Mossadegh ถูกโค่นอำนาจจากการรัฐประหาร ซึ่งมีหน่วยข่าวกรอง MI6 ของอังกฤษและ CIA ของสหรัฐอเมริกาชักใยอยู่เบื้องหลัง ภายใต้ปฏิบัติการ Operation AJAX ในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี Winston Churchill แห่งอังกฤษ และอดีตประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower แห่งสหรัฐอเมริกา
น่าสนใจว่า ก่อนหน้านี้ ผู้นำอังกฤษเคยติดต่อให้อดีตประธานาธิบดี Harry S. Truman ร่วมมือกันเพื่อโค้นล่มผู้บริหารประเทศอิหร่าน แต่ได้รับการปฏิเสธ
หลังจากกำจัด Mossadegh สำเร็จ ได้มีข้อตกลงร่วมปี 2497 (Oil Consortium Agreement of 1954) ที่อนุญาตให้บริษัทน้ำมันต่างชาติกลับมาดำเนินการในอิหร่านได้อีกครั้ง โดยรายได้ครึ่งหนึ่งของอุตสาหกรรมน้ำมันจากแผ่นดินอิหร่านได้ตกเป็นของชาติตะวันตก ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นดังนี้ ห้าบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้รับส่วนแบ่งรวมร้อยละ 40 British Petroleum (BP), Royal Dutch และ CFP บริษัทสัญชาติฝรั่งเศส ได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 40, 14 และ 6 ตามลำดับ
ในปี 2522 หลังมวลมหาประชาชนชาวอิหร่านนำโดย Ruhollah Khomeini ซึ่งเป็นนักการเมืองและผู้นำทางจิตวิญญานทำการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลภายใต้การนำของพระเจ้าชาร์ Mohammad Reza Pahlavi ที่มีสหรัฐอเมริกาชักใยอยู่เบื้องหลัง
รัฐบาลอิหร่านได้ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยขจัดบริษัทต่างชาติซึ่งเป็นของประเทศตะวันตก ให้พ้นจากผืนแผ่นดินอิหร่าน และนำอุตสาหกรรมสำคัญกลับมาเป็นของประเทศ อาทิ บริษัทน้ำมันแห่งชาติอิหร่าน (National Iranian Oil Company) และธนาคารอิหร่านทั้งหมด นับเป็นจุดสิ้นสุดความสัมพันธ์ และเป็นจุดเริ่มต้นความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและชาติตะวันตกมาจวบจนทุกวันนี้







