รถเก่าแลกรถใหม่ฟื้นตลาด? ส.อ.ท. ชี้ 'สินเชื่อ-หนี้เสีย' ฉุดกำลังซื้อ!

"รถเก่าแลกรถใหม่ใหม่" ฟื้นตลาด? คลังชงรถ 20 ปีขึ้นไป ลดภาษี-บสย. ค้ำ! ส.อ.ท. ชี้ 7 ปีเหมาะสมกว่า ห่วงไฟแนนซ์-กำลังซื้อชะลอ หวัง EV ดันยอดผลิตรถปีนี้แตะ 1.5 ล้านคัน แม้ยอดขายในประเทศยังซึมเซา
KEY
POINTS
- "พิชัย" เสนอโครงการ "รถเก่าแลกรถใหม่" สำหรับรถกระบะโดยเฉพาะ โดยนำรถกระบะเก่าอายุ 20-25 ปี มาแลกซื้อรถใหม่ พร้อมมอบ ส่วนลดทางภาษีและใช้กลไก บสย.ค้ำประกันสินเชื่อ
- กลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท. เห็นว่านโยบายเป็นสิ่งดีแต่มีข้อจำกัด เสนอให้ลดเกณฑ์อายุรถเก่าลงมาที่ เฉลี่ย 7 ปีขึ้นไป เพราะผู้บริโภคมักเปลี่ยนรถเร็วกว่านั้น
- ความสำเร็จของการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ จะขึ้นอยู่กับการปล่อยสินเชื่อ (ไฟแนนซ์) และกำลังซื้อของผู้บริโภคเป็นหลัก
โครงการ "รถเก่าแลกรถใหม่" กำลังเป็นประเด็นที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เมื่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "พิชัย ชุณหวชิร" มีแนวคิดที่จะใช้มาตรการนี้กระตุ้นยอดขาย รถกระบะ โดยเฉพาะ โดยเสนอให้รถกระบะเก่าอายุ 20-25 ปี สามารถนำมาแลกซื้อรถใหม่ได้พร้อมกับส่วนลดทางภาษีและกลไกการค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย.
ทว่าแนวคิดนี้ก็ถูกตั้งข้อสังเกตจากผู้เกี่ยวข้องในหลายมิติ โดยเฉพาะเรื่อง "อายุรถเก่า" ที่อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและปัจจัยภายนอกที่ยังคงส่งผลต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นในตลาดรถยนต์ไทยอย่างมีนัยสำคัญ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง มีแนวคิดในการทำโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ในส่วนรถกระบะ เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายให้รถกระบะใหม่ขายได้มากขึ้น โดยเบื้องต้นจะให้นำรถกระบะเก่าอายุ 20-25 ปี นำมาแลกซื้อรถคันใหม่ พร้อมกับให้เงื่อนไขส่วนลดทางภาษีเพื่อจูงใจ
นอกจากนี้ จะใช้กลไกการค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (บสย.) มาช่วยในการค้ำประกันสินเชื่อขอกู้ด้วยนั้น
ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า นโยบายรถเก่าแลกรถใหม่นั้น เข้าใจว่าอยู่ระหว่างเตรียมแผนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งอาจจะต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติม แต่กรอบนโยบายถือเป็นเรื่องดีที่น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การระบุอายุของรถนั้นอาจจะยังมีข้อจำกัดจนเกินไป ส่วนตัวมองว่า ปัจจุบันผู้ใช้รถมักนิยมเปลี่ยนรุ่นของรถเร็วขึ้น ด้วยดีไซด์ที่ออกแบบมารวมถึงเทคโนโลยีที่เข้ามาสนับสนุน ทำให้ความต้องการใช้รถอยู่เพียงแค่เฉลี่ย 7 ปี ขึ้นไป ดังนั้น กรอบการแลกรถเก่าที่เฉลี่ย 7 ปี ขึ้นไป น่าจะเพิ่มกรอบความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ส่วนตัวยังไม่ทราบถึงเกณฑ์และเงื่อนไขของการที่จะสามารถนำรถเก่ามาแลกใหม่ถึงในรายละเอียดที่ครบถ้วน จึงยังไม่สามารถระบุอะไรได้ชัดเจน อีกทั้ง นโยบายนี้จะกระตุ้นกำลังซื้อได้ดีหรือไม่นั้น สุดท้ายก็ต้องมาดูในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อ หรือ ไฟแนนซ์อีกว่าจะมีการปล่อยมากน้อยแค่ไหน หรือไม่ดูรายละเอียดข้อตกลงของรถรวมถึงมูลค่าเท่าไหร่อย่างไรถึงจะอนุมัติ เป็นต้น
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ปีนี้ยอดผลิตรถน่าจะเป็นไปตามเป้าที่ 1.5 ล้านคัน โดยมาจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่คาดว่าจะผลิตได้ 50,000 คัน จะช่วยให้ยอดถึง รวมกับยอดขายในไทยที่โตคาดว่าจะขายได้ถึง 600,000 คันด้วย จึงมีโอกาสเป็นไปได้ ส่วนยอดส่งออกจะต้องดูผลเจรจาภาษีสหรัฐของไทยและประเทศคู่ค้าเราว่ามีการเจรจากับสหรัฐเป็นอย่างไร
"จากตัวเลขรถยนต์ที่จดทะเบียนในระบบตามกรอบอายุ 20-25 ปี ปัจจุบันมีประมาณ 2 ล้านคัน ดังนั้น การกำหนดกรอบของรถที่สูงนี้ ไม่แน่ใจว่ารถทั้ง 2 ล้านคันนี้จะวิ่งหรือใช้งานจริงเท่าไหร่ การเพิ่มกรอบอายุโดยลดลงมาน่าจะช่วยเพิ่มได้มากขึ้นด้วย"
ส่วนประเด็นที่บริษัทผู้ผลิตรถ EV แบรนด์จีนประกาศล้มละลายนั้น ได้ขายรถในไทยไปแล้วกว่า 1 หมื่นคัน ส่วนผลิตชดเชยไปในระดับพันคัน โดยผู้นำประเทศของจีนได้รู้สถานการณ์นานแล้ว พร้อมส่งสัญญาณให้ผู้ประกอบการ Start Up ในจีนที่ผลิตรถยนต์ให้รวมตัวกันเพื่อเพิ่มทุนและกำลังการผลิตรถยนต์ให้คุ้มค่า
สำหรับการผลิต การผลิตในเดือนพ.ค. 2568 รวม 139,186 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 33.51% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ค. 2567 ที่ 10.32% เพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือน จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV และ PHEV เพิ่มขึ้น 641.16% และ 130.49% ตามลำดับ ส่งผลให้การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 63.88% รวมทั้งผลิตรถ PPV เพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 138.65%
ส่วนยอดขาย โดยรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพ.ค. 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,229 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเม.ย. 2568 ที่ 10.67% แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ค. 2567 ที่ 4.73% เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเม.ย. 2568 จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV และรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในเพิ่มขึ้น 118.64% 234.68% และ 3.19% ตามลำดับ
ทั้งนี้ เนื่องมาจากราคาที่จับต้องได้มากขึ้น แต่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลง 24.84% จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอจากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังต่ำรวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น
อีกทั้งการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงจากนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเรื่องความปลอดภัย กังวลเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะไม่ได้ใช้ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ จากปัญหาการเมืองที่ขัดแย้งกันซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดอยู่แล้วทรุดลงมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนม.ค. - พ.ค. 2568 รถยนต์มียอดขาย 252,615 คัน ลดลงจากปี 2567 ในระยะเวลาเดียวกัน 2.98%







