'ธุรกิจไทย’ จัดแผนฉุกเฉิน ปมขัดแย้งกัมพูชา ‘เร่งสต๊อก-ดูแลพนักงาน’

ผู้ประกอบการไทย ปรับแผนธุรกิจรับปมขัดแย้ง“สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา” เผยเปลี่ยนเส้นทางขนส่งเข้าลาว และทางเรือแทนไปท่าเรือสีหนุวิลล์ หลังปิดทุกด่าน ทำต้นทุนสูงขึ้น “ไทยพาณิชย์-กสิกรไทย” เตรียมแผนสำรองรับสถานการณ์ พร้อมดูแลพนักงานในพื้นที่ “คาราบาว กรุ๊ป” เร่งสต๊อกเครื่องดื่มชูกำลัง 3 เดือน “มาม่า” เบรกผลิตออร์เดอร์กัมพูชา
KEY
POINTS
Key Point
- ปธ.สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา เผยผู้ประกอบการเปลี่ยนเส้นทางขนส่ง ทางบกผ่านลาว ทางน้ำไปสีหนุวิลล์
- ต้นทุนขนส่งสินค้าไปกัมพูชาสูงขึ้น
- นักลงทุนไทยในกัมพูชา ปรับแผนธุรกิจรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
- “ไทยพาณิชย์-กสิกรไทย” เตรียมแผนสำรองรับสถานการณ์ พร้อมดูแลพนักงานในพื้นที่
- “คาราบาว กรุ๊ป” เร่งสต๊อกเครื่องดื่มชูกำลัง 3 เดือน
- “มาม่า” เบรกผลิตออร์เดอร์กัมพูชา
การปิดด่านถาวรชายแดนไทยกัมพูชา 6 แห่ง และจุดผ่อนปรน 10 แห่ง บริเวณ จ.ศรีสะเกษ จ.บุรีรัมย์ จ.อุบลราชธานี จ.สระแก้ว จ.สุรินทร์ จ.จันทบุรี จ.ตราด ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยที่นำเข้า และส่งออกสินค้าข้ามแดนต้องปรับเส้นทางการจนส่งสินค้าที่ทำให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น
ในขณะที่บริษัทที่ลงทุนในกัมพูชาต่างเตรียมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan) ซึ่งครอบคลุมการจัดการบุคลากร ซัพพลายเชน และการประสานงานกับหน่วยงานของภาครัฐกัมพูชา โดยบางบริษัทมีการเตรียมแผนย้ายพนักงานคนไทยกลับประเทศ
นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา เปิดเผยว่า การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา กระทบการเศรษฐกิจชายแดนใน 7 จังหวัด และการขนส่ง ซึ่งเมื่อปิดชายแดนก็มี 2 ทางเลือกในการขนส่ง คือ
1.ทางบก ปรับเส้นทางขนส่งผ่าน สปป.ลาว แต่ส่งผลต่อต้นทุนการขนส่งและมีข้อจำกัดในการรองรับ โดยการขนส่งทางบกต้องอ้อมไป จ.อุบลราชธานี เข้าช่องเม็ก เข้าเขตเศรษฐกิจพิเศษวังเต่า-โพนทองตั้งอยู่ที่เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ซึ่งเป็นพื้นที่ตรงข้ามกับด่านช่องเม็กจังหวัดอุบลราชธานี ของประเทศไทยแล้วลงใต้เข้าตอนเหนือของกัมพูชา แล้วย้อนเข้ามาที่กรุงพนมเปญ
2.ทางทะเล โดยส่งสินค้าลงเรือเข้าจากท่าเรือชายฝั่ง คลองใหญ่ จ.ตราด รวมทั้งอาจจะส่งจากท่าเรือคลองเตยหรือท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อส่งออกไปกัมพูชาที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ จ.พระสีหนุ
ทั้งนี้ ท่าเรือคลองใหญ่เป็นท่าเรือชายฝั่งที่มีขนาดเล็กทำให้รองรับปริมาณสินค้าได้ไม่มาก และเต็มจนถึงกลาง ก.ค.2568 ซึ่งผู้ประกอบการไทยเริ่มไปใช้บริการตั้งแต่คืนวันที่ 23 มิ.ย.2568
สำหรับการขนส่งสินค้าทั้ง 2 เส้นทาง ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มเป็นหลายร้อยเท่า เช่น เดิมส่งสินค้าผ่านด่านชายแดนสระแก้ว เพื่อส่งสินค้าไปขายที่ศรีโสภณ ปอยเปต เมื่อเปลี่ยนเส้นทางขนส่งจากเดิม 500 กิโลเมตรเป็น 1,500 กิโลเมตร
รวมทั้งจากภาพรวมที่เกิดขึ้นถือว่ารับผลกระทบหนัก โดยยอดมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกวันละ 500 ล้านบาท จะหายไปพอสมควร จากราคาสินค้าที่ต้องปรับราคาจากต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้นทำให้ลูกค้ารับไม่ไหว ซึ่งทำให้ต้องสั่งสินค้าจากประเทศอื่นแทน และบางรายไม่มีความสามารถส่งสินค้าหรือวัตถุดิบไปกัมพูชาก็ต้องชะลอ โดยเฉพาะโรงงานไทยในกัมพูชาที่ใช้วัตถุดิบจากไทย เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป
นอกจากนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในไทยแต่ไปตั้งฐานการผลิตในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องแบกต้นทุนแรงงานค่อนข้างสูง โดยต้องพิจารณาว่าวัตถุดิบที่มีอยู่จะสามารถผลิตสินค้าได้แค่ไหน ถ้าผลิตไม่ทันกับออร์เดอร์ที่สั่งไว้ก็อาจต้องถูกปรับจากการส่งสินค้าไม่ได้
หวั่นกัมพูาตอบโต้แรงป่วนธุรกิจชะงัก
รวมทั้งมาตรการของกัมพูชาที่ออกมาเป็นระยะ ซึ่งช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อไทยออกมาตรการจะทำให้กัมพูชาออกมาตรการตอบโต้เช่นกัน และหากกัมพูชาใช้มาตรการแรงอาจทำให้การค้าหยุดชะงักได้
ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ที่ต้องใช้วัตถุดิบจากไทยเปลี่ยนไปใช้ที่แหล่งอื่น ส่วนภาคการผลิตหาแหล่งวัตถุดิบใหม่เพื่อใช้ในการผลิต ซึ่งระดับบริษัทข้ามชาติที่มีฐานการผลิตหลายแหล่งหาได้ไม่ยาก แต่ต้นทุนสูงขึ้น และส่งผลต่อกำไรและการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ ผู้นำเข้าที่สั่งสินค้าไทยไปจำหน่ายในกัมพูชา ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เส้นทางขนส่งสินค้าทางบกผ่านด่านชายแดนต้องหันไปขนส่งทางเรือแทนส่งต่อต้นทุนทำให้ปรับราคาสินค้าสูงขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้าหรือซื้อน้อยทำให้ยอดขายร่วงลง ขณะที่ปั๊มน้ำมันของไทยในกัมพูชา บางรายอาจต้องปรับราคาขึ้นจากการที่ไม่มีน้ำมันมาจากไทยทำให้ต้องนำเข้าจากประเทศอื่นแทน
วอนรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายเจรจาด้วยสันติวิธี
“ขอให้รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศคุยกัน หาทางออกแบบสันติวิธี อยู่ร่วมกันได้ เพราะไม่ว่ามาตรการใดออกมาผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ จึงอยากให้ช่วยประคับประคองให้ผ่านปัญหานี้ได้“ นายวรทัศน์ กล่าว
สำหรับนักธุรกิจไทยที่ลงทุนในกัมพูชาทั้งภาคอุตสาหกรรมภาคการค้าและการบริการได้รับผลกระทบเช่นกันโดยได้หารือสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ซึ่งปัญหาหลักเป็นการขนส่งที่ได้รับผลจากการปิดด่านชายแดน และทำให้ขนส่งวัตถุดิบเข้ากัมพูชาไม่ได้
ทั้งนี้ สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ได้หารือนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยรัฐบาลจะช่วยซอฟต์โลน เพราะผู้ประกอบการประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากการปัญหาดังกล่าว ซึ่งกว่าจะกลับมาเหมือนเดิมคงใช้เวลา 3 ปี ในการฟื้นตลาดกัมพูชา อีกทั้งต้องสู้กับคู่แข่งที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในกัมพูชาที่เข้ามาช่วงสินค้าไทยเข้ากัมพูชาไม่ได้
รวมทั้งรัฐบาลควรจัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจใน 7 จังหวัดชายแดน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น
“ไทยพาณิชย์” เตรียมแผนความพร้อม 2 ด้าน
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน ธนาคารไทยพาณิชย์ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด และประสานงานร่วมกับสมาคมธนาคารไทย (TBA)ต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ธนาคารยังไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานโดยตรง และสามารถให้บริการตามปกติ
อย่างไรก็ดี เพื่อความไม่ประมาทธนาคารไทยพาณิชย์ได้เตรียมแผนความพร้อมไว้ใน 2 ด้านหลัก คือ 1.การดูแลพนักงานไทยในพื้นที่ และ 2.การบริหารสภาพคล่องกับธนาคารกลางกัมพูชา (NBC) อย่างรอบคอบซึ่งหากสถานการณ์มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงในทางลบ เรามีกรอบแผน BCP รองรับ และจะดำเนินการตามหลักการกำกับดูแลอย่างรัดกุม
“กสิกรไทย” เตรียมแผนสำรองทุกด้าน
นายภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทยยังคงเปิดให้บริการตามปกติอย่างเต็มรูปแบบ โดยธนาคารได้จัดเตรียมแผนสำรองทุกด้าน ทั้งในส่วนของบุคลากร ระบบปฏิบัติการ รวมถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อรองรับกรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
แม้ภาพรวมสถานการณ์อาจมีความตึงเครียด และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ธนาคารยืนยันว่า ณ ตอนนี้ยังไม่กระทบการทำธุรกรรมทางการเงินใดๆ และอยากให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า ธนาคารพร้อมสนับสนุนลูกค้าอย่างเต็มที่ในทุกสถานการณ์
“คาราบาว กรุ๊ป” เร่งสต๊อก 3 เดือน
นายร่มธรรม เสถียรธรรมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า จากการปิดชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่กระทบยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดง เนื่องจากบริษัทและพันธมิตรที่เป็นตัวแทนจำหน่ายหรือเอเยนต์สต๊อกสินค้าระดับหนึ่งเพื่อรองรับความต้องการผู้บริโภค ส่วนความกังวลเกี่ยวต้นทุนสินค้าหากต้องส่งสินค้าทางเรือ ทางพันธมิตรเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ที่ต้องจับตาคือ การสต๊อกสินค้าเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อให้เพียงพอต่อการจำหน่ายสินค้า ซึ่งบริษัทต้องบริหารจัดการเรื่องโลจิสติกส์อย่างเข้มข้น เพราะต้องมีสินค้ารองรับการขายเฉลี่ย 40 ล้านกระป๋องต่อเดือน หรือ 3 เดือน คิดเป็นจำนวน 120 ล้านกระป๋อง ทำให้การขนส่งต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์มหาศาล 1,500 ตู้
นอกจากนี้ แผนเคลื่อนธุรกิจในกัมพูชาที่สามารถทำได้คือ การเร่งเปิดโรงงานผลิตสินค้าให้เร็วขึ้น แต่ทำได้เพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้น จากเดิมจะเปิดโรงงานช่วงคริสต์มาส 2568 หลังจากปี 2567 บริษัทเข้าไปลงทุนหลักพันล้านบาท สร้างฐานผลิต จากที่ทำตลาดในกัมพูชาอยู่ราวเกือบ 20 ปี
”คาราบาวแดงเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในกัมพูชา มียอดขายต่อปี 400-500 ล้านกระป๋อง หรือราว 2,000 ล้านบาท ภาพรวมขณะนี้มีการหารือกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ระยะสั้นสิ่งที่กระทบคือการต้องเพิ่มสต๊อกสินค้าเป็น 3 เดือน ซึ่งยอดขายตอนนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 40 ล้านกระป๋องต่อเดือน จึงถือเป็นงานค่อนข้างยาก จากปัจจุบันเรามีสินค้าสต๊อกราว 1 เดือน"
รวมทั้งอาจขยับการเปิดโรงงานผลิตให้เร็วขึ้น แต่อย่างมากเร็วขึ้นเพียง 1-2 สัปดาห์ และส่งเพียงหัวเชื้อไปจะไม่กระทบการส่งวัตถุดิบ ซึ่งถึงวันเปิดโรงงานคาดหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง”
“มาม่า” เบรกผลิตออร์เดอร์กัมพูชา
นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ ไทยเพรซิเดนท์ ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัททำธุรกิจในประเทศกัมพูชามากว่า 20 ปี ตลาดดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะในบรรดาประเทศส่งออก กัมพูชาส่งออกดีสุดในโลก ขณะเดียวกันมาม่าเป็นผู้นำตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในกัมพูชา ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 80% ล่าสุด ยังมีการลงทุนราว 200 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตบะหมี่เพิ่ม
ทั้งนี้ จากปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา จนต้องปิดชายแดนทุกด่าน ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการส่งวัตถุดิบไปผลิตสินค้า รวมถึงการส่งออก ทำให้ตอนนี้ต้องยุติการผลิตคำสั่งซื้อหรือออร์เดอร์ของตลาดกัมพูชาก่อน รวมถึงสินค้าประเภทถ้วยหรือคัพที่ต้องส่งไปทำตลาด
“ตลาดบะหมี่ของมาม่าในกัมพูชามีขนาดเทียบเท่าการขายในภูมิภาคหนึ่งของไทยอย่างภาคอีสาน และมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ที่เป็นห่วงในขณะนี้คือการส่งออกวัตถุดิบไปผลิตสินค้าในกัมพูชา เนื่องจากมีการปิดด่านชายแดนทุกด่าน จึงมีการหาแนวทางส่งออกวัตถุดิบผ่านทางเรือ เป็นต้น”
ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีการจำหน่ายรองเท้านันยางไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดเมียนมา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ขณะที่กัมพูชามีจำหน่ายบ้าง โดยผ่านร้านค้าปลีกในจังหวัดที่มีชายแดนติดกัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ แต่อยู่ระหว่างการรอประเมินผลกระทบจากร้านค้าในพื้นที่เพิ่มเติม
รับกระแสโซเชียลแรงกว่าคนในพื้นที่
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการที่ดำเนินธุกิจในกัมพูชาที่เป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาที่ออกข่าวมาถือว่ารุนแรงกว่าสถารการณ์ในพื้นที่มาก โดยการทำธุรกิจค้าขายในกัมพูชายังคงเป็นปกติ แต่ผลกระทบของการปิดด่านมีทั้งที่ได้รับผลกระทบและไม่กระทบ โดยกระทบหนักๆ คือ
1.กลุ่มโรงงานเสื้อผ้า และโรงงานทอผ้าที่ไปลงทุนเป็นหลักพันล้านบาท รวมถึงกลุ่มที่ขายสินค้าอุปโภคและบริโภค เช่น เครือสหพัฒน์ฯ ที่มีการส่งออกเยอะก็กระทบเพราะมีลูกค้าในกัมพูชาจำนวนมาก โดยจะต้องมีการเพิ่มต้นทุนค่าขนส่งโดยอ้อมไปส่งทาง สปป.ลาว แทน เป็นต้น
2.กลุ่มธุรกิจที่ไม่กระทบจะเป็นสินค้าเหล็กที่เคยมาตั้งโรงงงานในประเทศไทย และส่วนมากเป็นโรงงานเหล็กจีนที่ย้ายฐานไปตั้งในกัมพูชา เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษี AD เป็นต้น
“สินค้าอุปโภค และบริโภคจะกระทบในด้านต้นทุน เมื่อปิดด่านก็จะมีทางออก คือ หากส่งข้ามด่านไทยไม่ได้ก็จะมีแผนสำรองโดยส่งไปยังด่านของลาวแล้วค่อยขนมา แต่ก็จะเสียค่าขนส่งมากขึ้น”
สำรองพลังงาน-เพิ่มต้นทุนขนส่ง
โดยกลุ่มของโรงงานที่ไปทำธุรกิจยังเป็นปกติเพราะส่วนมากเป็นการจ้าง แรงงานกัมพูชา โรงงานจะมีการสำรองน้ำมัน และไฟอยู่แล้ว ซึ่งโรงงานเตรียมพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ เช่น น้ำมันนั้นก็ไม่ห่วงเลย เพราะกลุ่มบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) พร้อมสนองนโยบายภาครัฐเพราะปั๊มน้ำมัน ปตท.ในกัมพูชาเจ้าของเป็นคนกัมพูชาซึ่งไม่ใช่เจ้าของไทยเพราะหาก ปตท.ลงทุนเองกลัวถูกปิดถูกยึดทรัพย์
ดังนั้น การที่รัฐบาลกัมพูชาทำอย่างนั้นกับคนกัมพูชาที่เป็นเจ้าของปั๊มก็จะเดือดร้อนเอง เพียงแต่ว่ายอดขายของกลุ่ม ปตท.ลดลงเล็กน้อย แต่เชื่อว่าแนวโน้มดีขึ้น เพราะภาครัฐได้เริ่มคุยกับเอกชนแล้วว่ามีธุรกิจไหนที่ได้รับผลกระทบ และภาครัฐจะพิจารณาเยียวยาช่วยเหลือในการลดผลกระทบให้
รวมทั้งเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจว่าต้องเน้นผลประโยชน์ของชาติในเรื่องของความมั่นคงมาก่อนผลประโยชน์ทางธุรกิจกระทบแน่แต่ก็ไม่อยากให้ถึงกับสู้รบกันเพื่อความมั่นคงของชาติ ส่วนกำไรของบริษัทเอกชนจะเป็นลำดับรอง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







