ปิด ‘ฮอร์มุซ’ สะเทือนเอเชีย ไทยหวั่นราคา‘พลังงาน-ปุ๋ย’พุ่ง

ปิด ‘ฮอร์มุซ’ สะเทือนเอเชีย ไทยหวั่นราคา‘พลังงาน-ปุ๋ย’พุ่ง

ปิด ‘ช่องแคบฮอร์มุซ’ สะเทือนเอเชียหนักสุด หวั่นพลังงานพุ่งเขย่า ‘เงินเฟ้อ’ เส้นทางหลัก ‘น้ำมันดิบ-LNG’ สู่เอเชีย  “ผู้ส่งออกไทย”  ชี้กระทบส่งออกไปตะวันออกกลาง ต้นทุนนำเข้าน้ำมัน-ปุ๋ยพุ่ง ค่าระวางเรือขึ้นแล้ว 20% บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ ชี้ ปิดช่องแคบฮอร์มุช น้ำมันหายจากตลาด 20% “คลัง” ลั่นเตรียมแผนรับมือ พร้อมใช้มาตรการภาษีดูแลราคาน้ำมัน

KEY

POINTS

Key Point

  • ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางการขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใหญ่สุด 20% ของโลก
  • น้ำมันเบนซินและดีเซลที่มีการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ 5 ล้านบาร์เรลต่อวันนั้น เอเชียมีสัดส่วนประมาณ 60% ของทั้งหมด
  • หากปริมาณน้ำมันที่ผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ลดลง 50% เป็นเวลา 1 เดือน และลดลงอีก 10% เป็นเวลา 11 เดือนต่อมา อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 110 ดอลลาร์
  • "คลัง”ลั่นเตรียมแผน เล็งมาตรการภาษีดูแลน้ำมัน
  • ผู้ส่งออกหวั่นท่าเรือหลักปิดบริการ

“เศรษฐกิจเอเชีย” หนึ่งในภูมิภาคที่พึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากตะวันออกกลางจะเผชิญความท้าทายอย่างมาก หากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางการขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใหญ่สุด 20% ของโลก

สำนักข่าวนิกเกอิเอเชีย รายงานว่า แม้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาถกเถียงตลอดว่า อิหร่านจะปิดช่องแคบได้จริงหรือไม่ แต่รัฐสภาอิหร่านลงมติสนับสนุนการปิดช่องแคบนี้ ภายหลังสหรัฐประกาศเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2568 ว่า ได้ออกปฏิบัติการณ์ทางอากาศถล่มโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่าน ที่ฟอร์โดว์ นาตันซ์ และเอสฟาฮาน 

ปัจจุบันยังไม่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายเรื่องนี้ ซึ่งเป็นการพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน และผู้นำสูงสุดอย่าง อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอีแต่เรื่องนี้ทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นถึง 5.7% ไปทะลุ 81.40 ดอลลาร์/บาร์เรล ในการซื้อขายที่สหรัฐช่วงเปิดตลาดเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ก่อนจะลดลงมาต่ำกว่าระดับ 77 ดอลลาร์/บาร์เรล

นักวิเคราะห์จากบริษัท Rystad Energy ระบุชัดเจนว่า “เอเชียจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการขาดแคลนการส่งออกน้ำมันดิบ” หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด เพราะต้องพึ่งพาน้ำมันดิบที่ขนส่งผ่านเส้นทางนี้ โดยกว่า 80% ของน้ำมันดิบเกือบ 15 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ขนส่งผ่านช่องแคบนี้ ถูกส่งมายังเอเชีย

“เกาหลีใต้และญี่ปุ่น” เป็นผู้รับน้ำมันดิบรายใหญ่ที่ขนส่งผ่านช่องแคบนี้ โดยคิดเป็นสัดส่วนรวมกันถึง 24% นอกจากนี้ประเทศอื่นอย่าง “สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทย มาเลเซีย ปากีสถาน และเวียดนาม” นำเข้าน้ำมันดิบผ่านช่องแคบฮอร์มุซปริมาณที่ไม่น้อยเช่นกัน

ปิด ‘ฮอร์มุซ’ สะเทือนเอเชีย ไทยหวั่นราคา‘พลังงาน-ปุ๋ย’พุ่ง

 

 

ขณะเดียวกัน เอเชียรับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ส่งจากจากกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ผู้ส่งออก LNG รายใหญ่ผ่านช่องแคบฮอร์มุซไปมากกว่า 80% โดยจุดหมายปลายทางหลักคือ ส่งไปจีนและอินเดียประมาณ 40% ของปริมาณทั้งหมด

แม้มีความตึงเครียดจากการโจมตีของสหรัฐและคำขู่ของอิหร่าน แต่นักวิเคราะห์มองว่าโอกาสที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซทั้งหมดมีน้อยมาก ส่วนนักวิเคราะห์จากกลุ่มยูเรเซีย กล่าวว่า “การปิดช่องแคบฮอร์มุซนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง เช่นเดียวกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในอ่าวเปอร์เซีย” และประเมินว่า โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นมีเพียง 20% เท่านั้น

แถลงการณ์ระบุว่า อิหร่านไม่น่าจะโจมตีเป้าหมายด้านพลังงานในระดับที่รุนแรงขึ้น ตราบใดที่โรงงานส่งออกพลังงานของตัวเองยังคงปลอดภัยอยู่ อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ก็เตือนว่า อิหร่านมีแนวโน้มที่จะคุกคามการขนส่งเรือบรรทุกน้ำมันมากขึ้นในอนาคต

กรณีเลวร้ายราคาน้ำมันพุ่ง110ดอลลาร์

ทั้งนี้ หากเกิดกรณีปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ ประเมินว่า ถ้าหากปริมาณน้ำมันที่ผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ลดลง 50% เป็นเวลา 1 เดือน และลดลงอีก 10% เป็นเวลา 11 เดือนต่อมา อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงสั้นๆ รวมทั้งราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปอาจพุ่งสูงขึ้นไปถึงระดับเดียวกับช่วงวิกฤติพลังงานของยุโรปในปี 2565

ข้อมูลจาก Rystad ระบุว่า ในส่วนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอย่างน้ำมันเบนซินและดีเซลที่มีการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ 5 ล้านบาร์เรลต่อวันนั้น เอเชียมีสัดส่วนประมาณ 60% ของทั้งหมด

ขณะเดียวกัน เอเชียรับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ส่งจากจากกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ผู้ส่งออก LNG รายใหญ่ผ่านช่องแคบฮอร์มุซไปมากกว่า 80% โดยจุดหมายปลายทางหลักคือ ส่งไปจีนและอินเดียประมาณ 40% ของปริมาณทั้งหมด

แม้มีความตึงเครียดจากการโจมตีของสหรัฐและคำขู่ของอิหร่าน แต่นักวิเคราะห์มองว่าโอกาสที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซทั้งหมดมีน้อยมาก ส่วนนักวิเคราะห์จากกลุ่มยูเรเซีย กล่าวว่า “การปิดช่องแคบฮอร์มุซนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง เช่นเดียวกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในอ่าวเปอร์เซีย” และประเมินว่า โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นมีเพียง 20% เท่านั้น

แถลงการณ์ระบุว่า อิหร่านไม่น่าจะโจมตีเป้าหมายด้านพลังงานในระดับที่รุนแรงขึ้น ตราบใดที่โรงงานส่งออกพลังงานของตัวเองยังคงปลอดภัยอยู่ อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ก็เตือนว่า อิหร่านมีแนวโน้มที่จะคุกคามการขนส่งเรือบรรทุกน้ำมันมากขึ้นในอนาคต

กรณีเลวร้ายราคาน้ำมันพุ่ง110ดอลลาร์

ทั้งนี้ หากเกิดกรณีปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ ประเมินว่า ถ้าหากปริมาณน้ำมันที่ผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ลดลง 50% เป็นเวลา 1 เดือน และลดลงอีก 10% เป็นเวลา 11 เดือนต่อมา อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงสั้นๆ รวมทั้งราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปอาจพุ่งสูงขึ้นไปถึงระดับเดียวกับช่วงวิกฤติพลังงานของยุโรปในปี 2565

สเตฟาน แองกริก นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Moody's Analytics เตือนว่า ราคาพลังงานที่แพงขึ้นจะทำให้เงินเฟ้อทั่วทั้งเอเชียจะเพิ่มขึ้น หรือพุ่งขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในประเทศรายได้สูงอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันจะได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ

“สถานการณ์นี้จะทำให้ประเทศเหล่านี้ขาดดุลการค้า เงินอ่อนค่าและนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงขึ้น และเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ธนาคารกลางก็จะตอบสนองด้วยการหยุดลดดอกเบี้ย หรือกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง”

 สหรัฐวอนจีนไม่ให้อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ

มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เรียกร้องให้ “จีน” ช่วยป้องกันไม่ให้อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางการค้าน้ำมันดิบที่สำคัญที่สุดในโลก

“ผมขอสนับสนุนให้รัฐบาลจีนในกรุงปักกิ่งพูดกับอิหร่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพวกเขาพึ่งพาน้ำมันที่ผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นอย่างมาก” รูบิโอกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับทีวีฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันอาทิตย์ โดยจีนเป็นลูกค้าน้ำมันที่สำคัญที่สุดของอิหร่าน และยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับอิหร่าน

ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านเตือนว่าอิหร่าน “สงวนทางเลือกทั้งหมดเพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตยของตน” หลังจากที่สหรัฐทิ้งระเบิดโรงงานนิวเคลียร์สำคัญ 3 แห่งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผู้ส่งออกหวั่นท่าเรือหลักปิดบริการ

นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า หากอิหร่านปิดช่องแคบเฮอร์มุช เบื้องต้นประเมินท่าเรือ อาทิ Jabel Ali, Doha, Dammam จะปิดเส้นทางหมด รวมถึง regional network กระทบส่งออกไป Gulf Coast

ทั้งนี้ สัดส่วนส่งออกไปตะวันออกกลางปี 2567 เท่ากับ 3.5% ของการส่งออกไทยทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้การส่งออกไทยปีนี้ไม่เติบโต แต่การนำเข้าจะกระทบมาก เพราะไทยนำเข้าสัดส่วนถึง 9.27% โดยเฉพาะน้ำมันดิบและปุ๋ย ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ไทยนำเข้าน้ำมันดิบจาก UAE 41.09% ซาอุดิอาระเบีย 12.04% กาตาร์ 3.35% คิดเฉพาะ 3 ประเทศนี้มีสัดส่วนสูงถึง 56.48% จาก World Total 

ไทยนำเข้าปุ๋ยจากตะวันออกกลางสูงถึง 42.37% แบ่งเป็น ซาอุดิอาระเบีย 27.71% กาตาร์ 3.67% จอร์แดน 3.48% โอมาน 3.41% และบาห์เรน 2.3% ซึ่งจะมีผลต่อภาคการเกษตรของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ต้นทุนการทำเกษตรสูงขึ้น เป็นแรงกดดันด้านราคา เพราะอาจจะขึ้นราคาขายให้ครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ยาก

แนะหาแหล่งอื่น-เพิ่มสต็อกน้ำมัน

สำหรับแนวทางการปรับตัวโดยเฉพาะความมั่นคงทางพลังงานต้องเร่งปรับแหล่งจัดซื้ออื่นทดแทน/เพิ่ม stock น้ำมันดิบมากขึ้น โดยเฉพาะการสั่งซื้อพลังงานจากสหรัฐทดแทนให้มากขึ้นจะได้ประโยชน์สองทาง แต่การเปลี่ยนแหล่งผลิตอื่นอาจมีข้อติดขัดเพราะจะสั่งซื้อกันไว้ล่วงหน้า และแต่ละแหล่งจะมีคุณภาพน้ำมัน ที่ทำให้สัดส่วนน้ำมันสำเร็จรูปแต่ละชนิดได้ปริมาณแตกต่างกันด้วย

สำหรับทางเลือกในการขนส่ง โดยขนถ่ายผ่านท่าเรือรองอื่น อาทิ Jeddah (Saudi), Salalah (Oman) และขนส่งทางบกต่อไปปลายทาง แต่ต้องหารือกับผู้ขนส่งเพื่อทราบแนวทางปฏิบัติไว้ล่วงหน้า และพิจารณากรณีต้องส่งกลับสินค้าว่าต้องดำเนินการอย่างไร พิธีการศุลกากรขาเข้าอย่างไร มีค่าใช้จ่ายเท่าใด เป็นต้น

“ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วก่อนมีข่าวปิดช่องแคบค่าระวางเรือจากไทยไป Jabel Ali, UAE ปรับขึ้นแล้ว 20% จาก 1,000 ดอลลาร์ต่อทีอียู เป็น 1,200 ดอลลาร์ต่อทีอียู”นายคงฤทธิ์ กล่าว

“ช่องแคบฮอร์มุช” จุดยุทธศาสตร์สำคัญ

นายเอกรินทร์ วงษ์ศิริ นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ กล่าวว่า สถานการณ์ในตะวันออกกลางตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง หลังรัฐสภาอิหร่านได้อนุมัติมาตรการปิดช่องแคบฮอร์มุซเพื่อตอบโต้ต่อเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ โจมตีทางอากาศใส่สถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านโดยขณะนี้ การตัดสินใจดังกล่าวอยู่ระหว่างรอการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน

สําหรับไทยนําเข้านํ้ามันดิบมากกว่า 47,000 ล้านลิตรในปีที่ผ่านมา โดยกว่าครึ่งมาจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ความเสี่ยงจากเหตุการณ์นี้ จึงมีความหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นที่ต้องพึ่งพาการนําเข้านํ้ามันจากแหล่งเดียวกัน หากช่องทางขนส่งถูกปิดกั้นหรือมีข้อจํากัด ย่อมส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบและความต่อเนื่องในการผลิตทันที

ปิดช่องแคบฮอร์มุช น้ำมันหาย 20%

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า กรณีเลวร้ายสุดหากปิดช่องแคบเฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันขนาดใหญ่จากตะวันออกกลางไปเอเชียและยุโรป หากช่องแคบนี้ถูกปิดการส่งออกน้ำมันจะหายไป 20% และส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ แต่มีความเป็นไปได้น้อย

ปัจจุุบันอิหร่านผลิตน้ำมันอยู่ที่ 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน หากหายไปวันละ 1 ล้านบาร์เรล จะทำให้ราคาน้ำมันดิบเบนท์ปรับขึ้น 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยเบื้องต้นมีการประมาณการกันว่า น้ำมันน่าจะหายไปอย่างน้อยวันละ 2 ล้านบาร์เรล และอาจหายไปเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ฉะนั้น น้ำมันดิบเบนท์น่าจะปรับตัวสูงขึ้นเกิน 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลเสริมว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดน้ำมันทำให้มีความผันผวนที่สูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งราคาในช่วงสั้นๆ จะพุ่งสูงกว่าราคาในช่วงระยะกลางถึงยาว ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ภาพรวมของน้ำมันมีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนสูงมากในลักษณะขึ้นแรง ลงแรง สลับกันไป ซึ่งไม่ใช่การขึ้นในทิศทางเดียวต่อเนื่องอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจทะลุระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไปจนถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลคงไม่ใช้เวลานี้ แต่เป็นในรูปของความผันผวนมากกว่า

“คลัง”เตรียมมาตรการรับมือ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หากความขัดแย้งในตะวันออกกลางยืดเยื้อจนถึงจุดที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วอุปทานน้ำมันทั่วโลกจะไม่ได้ขาดแคลนก็ตาม ทั้งนี้ การปรับขึ้นของราคาน้ำมันจะเป็นผลจากเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งโดยตรง

นายพิชัย กล่าวว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดในสองประเด็นหลักคือ 1. เรื่องราคาพลังงาน และ 2. การเคลื่อนย้ายเงินทุน

สำหรับประเทศไทย อัตราเงินเฟ้อโดยรวมค่อนข้างต่ำแต่ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นมีหลักๆ สองประการคือ สินค้าพลังงาน และสินค้านำเข้าบางชนิด เช่น ปุ๋ย ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงคราม

“ในกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเร็ว รัฐบาลพร้อมใช้มาตรการจากกองทุนเข้าช่วยเหลือรวมถึงมาตรการทางภาษี อย่างไรก็ตาม แนวคิดคือการบริหารจัดการในระดับที่เหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนมากกว่าการพยุงราคาสินค้าให้ต่ำอยู่ตลอด” นายพิชัย กล่าว