‘วิกฤติซ้อนวิกฤติ’รุมกระหน่ำ‘ไทย’ 

‘วิกฤติซ้อนวิกฤติ’รุมกระหน่ำ‘ไทย’ 

วิกฤติโลกกำลังถาโถมประเทศไทยจากทั้งภายในและภายนอกพร้อมกัน สร้างสถานการณ์ที่ยากจะควบคุมมากที่สุดในรอบหลายปี เมื่อ ‘ช่องแคบฮอร์มุซ’ เส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลกถูกปิด เหตุจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ และอิหร่าน ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยกำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทางการเมืองภายในที่รุนแรงจากปัญหาความสัมพันธ์กับ ‘กัมพูชา’ และความไร้เสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาล นำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ ที่มาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องการการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ และเด็ดขาด

   การปิดช่องแคบฮอร์มุซ กระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยหลายมิติ เนื่องจากเส้นทางขนส่งสำคัญแห่งนี้เป็นช่องทางลำเลียงน้ำมันประมาณ 1 ใน 5 ของปริมาณการค้าน้ำมันทางทะเลของโลก การปิดกั้นทำให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้นรุนแรง กระทบต้นทุนการผลิต การขนส่ง ขณะที่ค่าครองชีพคนไทย ยังต้องปากกัดตีนถีบต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ เศรษฐกิจที่ไม่มีความแข็งแกร่ง จีดีพีต่ำเตี้ย หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงลิบ หากเจอราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นไปอีก ยิ่งเพิ่มความกดดันต่อเศรษฐกิจไทยในภาพใหญ่ โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ใช้พลังงานสูง ภาคขนส่ง และเอสเอ็มอีที่โดนหางเลขในทุกวิกฤติ

    ภาพการเมืองในประเทศที่ขุ่นมัว ความขัดแย้งกับกัมพูชาที่บานปลาย ความแตกร้าวในพรรคร่วมรัฐบาลที่นำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี การเมืองที่ไม่มั่นคงแบบนี้ กระทบความสามารถการกำหนดนโยบาย และการขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจที่จำเป็น ยิ่งในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เราต้องการรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีพลังในการแก้วิกฤติ เราต้องการแผนเตรียมพร้อมด้าน ‘พลังงาน’ มาตรการสำรองน้ำมัน หาแหล่งพลังงานทางเลือก เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานระยะยาว แต่ ‘วิกฤติการเมือง’ แบบไทยๆ กลับกัดกร่อนกินเวลา และพลังงานของผู้บริหารประเทศไปกับการแก้ปัญหาภายใน และการรักษาเสถียรภาพรัฐบาล ทำให้การตอบสนองต่อวิกฤติครั้งนี้ไม่สามารถดำเนินการได้เต็มประสิทธิภาพ

     รัฐบาลในเวลานี้ที่ยังนำโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องเตรียมแผนรองรับผลกระทบอย่างจริงจังแผนต้องครอบคลุมทั้งสถานการณ์ระยะสั้น และระยะยาว มีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า วิกฤติเหล่านี้ จะคงอยู่ยาวนานแค่ไหน วิกฤติครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งบททดสอบความสามารถการบริหารประเทศ และ ‘ภาวะผู้นำของรัฐบาล’ หากผ่านพ้นไปได้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้มแข็งให้ระบบการเมืองไทย แต่หากรัฐบาลเอาวิกฤติครั้งนี้ไม่อยู่ อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเมือง และวิกฤติเศรษฐกิจที่ยิ่งยืดเยื้อ ส่งผลเสียต่อการพัฒนาประเทศระยะยาว