OR เรียกพนักงานกลับประเทศ ทุนไทยตั้งรับ ‘กัมพูชา’ แบนธุรกิจ

ทุนไทยตั้งรับ ‘กัมพูชา’ แบนธุรกิจ OR เรียกพนักงานกลับประเทศ “พลังงาน” เผยส่งออกน้ำมันปีที่แล้ว 4.7 หมื่นล้านบาท “นักวิชาการ” ระบุกัมพูชาใช้นโยบายลดพึ่งสินค้าไทย ‘บิ๊กซี’ ชะลอขยายสาขากัมพูชา เตรียมเครื่องปั่นไฟสำรองรับปัญหาไฟตก
KEY
POINTS
- OR เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ เรียกพนักงานคนไทยส่วนน้อยที่อยู่ในกัมพูชากลับประเทศตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.2568 เพื่อความปลอดภัย โดยส่วนใหญ่เป็นพนักงานชาวกัมพูชา
- นายกรัฐมนตรี ชี้ว่าการที่กัมพูชา ไม่รับน้ำมันจากไทยจะทำให้ราคาน้ำมันในกัมพูชาสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบทั้งประชาชนกัมพูชา และคนไทยในกัมพูชา
- บิ๊กซี ชะลอแผนการขยายสาขาใหม่ในกัมพูชาสำหรับปี 2568-2569 โดยมีสาขาในกัมพูชา 20 สาขา และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
- ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอาเซียน ประเมินว่ามาตรการนี้แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาต้องการลดการพึ่งพาเศรษฐกิจ และสินค้าไทย
ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาพุ่งสูง ล่าสุด นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ของกัมพูชา สร้างความตกตะลึงด้วยการประกาศระงับการนำเข้าน้ำมัน และก๊าซ ทั้งหมดจากประเทศไทย อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย.2568 ท่ามกลางความตึงเครียดเรื่องข้อพิพาทชายแดน โดยให้บริษัทจัดหาน้ำมันในกัมพูชานำเข้าเชื้อเพลิงอย่างเพียงพอจากแหล่งอื่นแทน
กระทรวงพลังงาน รายงานว่าการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปกัมพูชาในปี 2567 ปริมาณ 2,288.82 ล้านลิตร หรือเฉลี่ยวันละ 6.254 ล้านลิตร คิดเป็น 21.1% ของปริมาณการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมดของไทย หรือคิดเป็นมูลค่า 47,988 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นคู่ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงอันดับ 2 ของไทย รองจากสิงคโปร์
นอกจากนี้เมื่อดูรายละเอียดน้ำมันที่ส่งออกไปกัมพูชา พบว่า เป็นน้ำมันกลุ่มเบนซิน 1,002.39 ล้านลิตร ครอบคลุมออกเทน 91, 92 และเบนซินทั่วไป รองลงมาเป็นน้ำมันกลุ่มดีเซล 1,136.18 ล้านลิตร ครอบคลุมดีเซลพื้นฐาน และกำมะถันสูง ส่วนน้ำมันเครื่องบิน 71.62 ล้านลิตร , น้ำมันเตา 23.34 ล้านลิตร และก๊าซแอลพีจี 29.85 ล้านกิโลกรัม
ทั้งนี้ บริษัทน้ำมัน และโรงกลั่นหลายแห่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งออก เช่น OR, PTT, IRPC, Susco, Thai Oil, และ Star Refinery รวมถึงผู้ค้าแอลพีจีรายใหญ่อย่าง บางจาก ศรีราชา, ไออาร์พีซี, โออาร์, ยูนิคแก๊ส
สำหรับ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR บริษัทลูกของ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เข้าไปลงทุนตั้งปั๊มน้ำมันในกัมพูชาภายใต้บริษัท PTT Cambodia Limited (PTTCL) มีสถานีบริการน้ำมัน 190 แห่ง ในกรุงพนมเปญ , เมืองเสียบเรียบ และถนนเส้นทางหลักของกัมพูชา
รวมทั้งก่อนหน้านี้ OR เตรียมขยายลงทุนในกัมพูชา 100 ล้านดอลลาร์ หรือ 3 พันล้านบาทเศษ เพื่อลงทุนคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) และขยายคลังน้ำมัน รองรับการขยายฐานตลาดอุตสาหกรรม ตามนโยบายกัมพูชาเป็นบ้านหลังที่ 2 รองจากไทย เพื่อขยายคลังน้ำมันเพิ่ม 1 เท่าตัว รองรับความต้องการใช้น้ำมัน และน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้น
เรียกพนักงานไทยกลับประเทศ
แหล่งข่าวจาก ปตท. กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันจากไทยทำให้ OR ติดตามสถานการณ์แบบวันต่อวัน รวมทั้งกลุ่ม ปตท.เตรียมแผนรองรับไว้แล้ว ซึ่งประเมินเบื้องต้นกระทบไม่มาก โดยโลกพลังงานมีความผันผวนเสมอทำให้กลุ่ม ปตท.จำเป็นต้องมีแผนรองรับอยู่เสมอ
อีกทั้งการห้ามนำเข้าน้ำมันจากไทยเมื่อเทียบกับสงครามตะวันออกกลางที่ประกาศปิดช่องแคบฮาร์มุซมีผลมากกว่า แต่กลุ่ม ปตท.มีแผนการรับมือสถานการณ์ในกัมพูชา โดยนำสถานการณ์ในอดีตมาร่วมประเมินด้วย แบ่งเป็น
1.ปั๊มน้ำมัน และร้านคาเฟ่อเมซอนในกัมพูชายังคงเปิดดำเนินการตามปกติ โดยปกติจะขนส่งน้ำมันสำเร็จไปทางเรือไปกัมพูชา แต่เมื่อห้ามนำเข้าจากไทยจะมีการจำหน่ายน้ำมันที่คงค้างสต๊อกในคลังน้ำมัน และในสถานีบริการน้ำมันแต่ละแห่งจนหมด
2.เรียกพนักงานที่เป็นคนไทยให้เดินทางออกจากกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.2568 เพื่อความปลอดภัย ซึ่งมีไม่มากเพราะพนักงานส่วนใหญ่เป็นคนกัมพูชา และให้พนักงานกัมพูชาดูแลการดำเนินงานพร้อมทั้งประกาศกับบริษัทแม่ในประเทศไทย
ทั้งนี้ ข้อมูลเดือนเม.ย.2568 OR มีปั๊มน้ำมันในกัมพูชา 190 แห่ง และมีร้านคาเฟ่อเมซอน 258 แห่ง ซึ่งถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับในไทยที่มีปั๊มกว่า 2,000 แห่ง โดยก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.- เม.ย.) ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปกัมพูชา 20,011 ล้านบาท
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยส่งน้ำมันไปกัมพูชาเดือนละ 150 ล้านลิตร และก๊าซหุงต้ม เดือนละ 1,500 ตัน โดยพนักงาน OR ในกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นคนกัมพูชาเกือบ 100% โดย OR เป็นมิตรที่ดีกับประชาชนในพื้นที่ และเข้าไปสร้างงานสร้างอาชีพ และรายได้ให้คนในพื้นที่
"การดำเนินธธุรกิจที่ผ่านมาเป็นมิตรต่อกันมาด้วยดี การเข้าไปทำธุรกิจได้สร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับประชาชนในกัมพูชา และไม่ได้เกลียดชังอะไรกัน” แหล่งข่าวกล่าว
“แพทองธาร” ชี้กระทบกัมพูชา
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ประเด็นธุรกิจไทยที่ลงทุนในกัมพูชาควรปฏิบัติตัวอย่างไร ว่า ธุรกิจไทยในกัมพูชา จะมีการสนับสนุนทางการทูตเต็มที่ และไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
ทั้งนี้ กัมพูชาประกาศไม่ซื้อน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องตรงชายแดนแต่หากลุกลามขึ้น หรือไม่รับน้ำมันมากขึ้นจะยิ่งเป็นปัญหา ซึ่งผู้นำกัมพูชาต้องกำหนดราคาน้ำมัน หากไม่รับจากของไทยจะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ซึ่งไม่ทราบได้ว่ากัมพูชาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร โดยค่าใช้จ่ายจะกระทบประชาชนกัมพูชา และประชาชนไทยในกัมพูชา
‘บิ๊กซี’ ชะลอขยายสาขากัมพูชา
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี กล่าวว่า ปี 2568-2569 บิ๊กซีไม่มีแผนขยายสาขาใหม่ในกัมพูชา พร้อมติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ต้องการให้ทุกอย่างชัดเจน และแน่นอนที่สุด
ทั้งนี้ ธุรกิจในกัมพูชายังขับเคลื่อนไปได้ และเตรียมแผนรองรับทั้งการมีเครื่องปั่นไฟ เนื่องจากที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์ไฟตกบางช่วง โดยภาพรวมบิ๊กซีมีสาขาในกัมพูชา 20 สาขา เป็นสาขาขนาดใหญ่ 1 สาขา เปิดบริการ 2 ปีที่แล้ว และขนาดเล็ก 19 สาขา
“การชะลอการขยายสาขาในกัมพูชา มีความสอดคล้องกับ ธุรกิจในประเทศลาว ที่ไม่มีแผนเปิดเพิ่มเช่นกัน เพราะต้องติดตามสถานการณ์ทุกอย่างให้มีความเหมาะสมที่สุด ปัจจุบันมีไฮเปอร์มาร์เก็ต 1 สาขาในลาว และร้านขนาดเล็ก 60 สาขา โดยตลาดต่างประเทศบริษัทโฟกัสประเทศเวียดนามที่ลงทุนแล้ว 20 สาขา รวมถึงตลาดใหม่อินโดนีเซียที่อยู่ระหว่างการศึกษา"
ส่วนแผนลงทุนของบิ๊กซีครึ่งปีหลัง มุ่งขยายสาขาใหม่ในไทยเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต 4 สาขา ทำเลกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงรีโนเวทขนาดใหญ่ 14 สาขา ปรับโฉมขนาดเล็ก 9 สาขา โดยเดือนมิ.ย.ขยายสู่ “บิ๊กซี แอท ฟีนิกซ์” (Big C at Phenix) ย่านประตูน้ำ พร้อมวางโมเดลบิ๊กซีราชดำริ ย่อขนาดมาในสาขาแห่งนี้ เจาะคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ
รวมทั้งประเมินผลประกอบการบริษัทปีนี้ 2568 รักษาการเติบโตระดับหลักเดียวตามเป้าหมาย ส่วนแผนลงทุนปี 2569 ลงทุนไม่ต่ำกว่าปีนี้ที่ใช้งบ 6,000-7,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนของ บิ๊กซี และ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วนเท่ากัน 50%
“กัมพูชา” ลดพึ่งพาสินค้าไทย
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาประกาศงดซื้อน้ำมันจากไทย ซึ่งมาตรการที่ออกมาประเมินว่ากัมพูชาต้องการลดการพึ่งพาเศรษฐกิจไทย และสินค้าไทย
ทั้งนี้10 ปีที่ผ่านมา กัมพูชาพึ่งพาสินค้าไทยลดลง โดยมีสินค้าจากจีน และเวียดนามเพิ่มขึ้นมา ซึ่งทำให้ส่วนแบ่งสินค้าไทยลดลงจาก 50% เหลือ 30% โดยสินค้าจีน และเวียดนามจะเข้ามาแทนที่สินค้าไทยทั้งอาหาร ชิ้นส่วนรถยนต์ วัสดุก่อสร้าง
“นักลงทุนไทยในกัมพูชาไม่ได้เป็นเบอร์ 1 แต่เป็นเบอร์ 9 โดยอันดับ1 คือ จีน หากดูนักลงทุนในอาเซียนจะเป็นมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนามส่วนไทยอยู่อันดับรองลงไป"
ส่วนการออกน้ำมันไปกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วน16% ของการส่งออกสินค้าส่งออกทั้งหมดโดยกัมพูชานำเข้าน้ำมันจากไทยสัดส่วนถึง60% ของการนำเข้าน้ำมันทั้งหมดรองลงมาเป็นนำเข้าจากเวียดนาม และสิงคโปร์รวมสัดส่วน 40% ทำให้กัมพูชาประกาศรับซื้อน้ำมันจาก 2 ประเทศนี้เพิ่มขึ้นซึ่งใน 1-2 เดือน กัมพูชาอาจมีปัญหาขาดแคลนน้ำมันระยะสั้น จากนั้นนำเข้าจากเวียดนาม และสิงคโปร์มากขึ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







