"พิชัย" จับตาสงครามตะวันออกกลาง รับผลกระทบราคาน้ำมันพุ่ง-เคลื่อนย้ายทุน

"พิชัย" จับตาสงครามตะวันออกกลาง รับผลกระทบราคาน้ำมันพุ่ง-เคลื่อนย้ายทุน

“พิชัย” ระบุจับตาสงครามตะวันออกกลาง สั่งการเฝ้าระวังผลกระทบอย่างใกล้ชิดใน 2 ประเด็นหลัก ราคาน้ำมัน และ การเคลื่อนย้ายเงินทุน สั่งผู้ค้าน้ำมันรายงานยอดนำเข้า-ส่งออก บริหารปริมาณสำรองให้เหมาะสม ระบุรัฐยังมีกลไกกองทุนและมาตรการภาษี รองรับราคาผันผวน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลมีการจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด รวมถึงความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพลังงาน โดยกระทรวงการคลังมีการติดตามและเตรียมรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน

"หากความขัดแย้งในตะวันออกกลางยืดเยื้อจนถึงจุดที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วอุปทานน้ำมันทั่วโลกจะไม่ได้ขาดแคลนก็ตาม ทั้งนี้ การปรับขึ้นของราคาน้ำมันจะเป็นผลจากเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งโดยตรง"

 

นายพิชัย กล่าวว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดในสองประเด็นหลักคือ 1. เรื่องราคาพลังงาน และ 2. การเคลื่อนย้ายเงินทุน 

สำหรับประเทศไทย อัตราเงินเฟ้อโดยรวมค่อนข้างต่ำแต่ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นมีหลักๆ สองประการคือ สินค้าพลังงาน และสินค้านำเข้าบางชนิด เช่น ปุ๋ย ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงคราม 

ขณะที่การเคลื่อนย้ายเงินทุนเป็นอีกปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย นอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว ยังรวมถึงความเชื่อมั่นในสกุลเงินและสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่น คริปโตเคอร์เรนซีและทองคำ เบื้องต้นได้มีการสั่งการแก้ไขให้ตลาดทุน มีการตั้งกติกาใหม่รวดเร็ว ซึ่งช่วยให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ลดต่ำลงมามากนัก
 

"ในกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลมีความพร้อมที่จะใช้มาตรการจากกองทุนเข้าช่วยเหลือรวมถึงมาตรการทางภาษี อย่างไรก็ตาม แนวคิดคือการบริหารจัดการในระดับที่เหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนมากกว่าการพยุงราคาสินค้าให้ต่ำอยู่ตลอด" นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวต่อว่า สถานะสำรองน้ำมันของประเทศไทยมีการสำรองตามกฎหมาย (legal reserve) ซึ่งประกอบด้วย น้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ในทางปฏิบัติ บริษัทผู้ค้าน้ำมันมีการสำรองเชิงพาณิชย์ (commercial reserve) ที่มากกว่านั้น เนื่องจากมีการให้เครดิตแก่ลูกค้าซึ่งแน่ใจได้ว่าไทยจะมีน้ำมันเพียงพอ   

นอกจากนี้ ประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกน้ำมัน ในช่วงเวลาที่เกิดปัญหาระหว่างประเทศมีการสกัดส่งออกไปกัมพูชา อาจเป็นจังหวะดีในการบริหารจัดการสำรองน้ำมันภายในประเทศให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เนื่องจากช่วงเวลานี้หลายประเทศอาจพยายามกักเก็บพลังงานไว้ใช้ในประเทศมากขึ้นแทนการส่งออก

นายพิชัย กล่าวว่า เบื้องต้นได้มีการหารือระหว่างผู้แทนจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย รวมถึงผู้บริหารกับกลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ เพื่อให้มีการรายงานยอดนำเข้า-ส่งออกของน้ำมันและจัดทำแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน และติดตามผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศมีความพร้อมในการรับมือในทุกสถานการณ์

ส่วนจะมีการปรับวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบ 1.57 แสนล้านบาท เพื่อมารับมือสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (24 มิ.ย.68) รัฐบาลจะแถลงการใช้เงินภายใต้กรอบดังกล่าว โดยจากการกลั่นกรองอย่างละเอียด ในรอบแรกมีการใช้งบ 1.1 แสนล้านบาท ยังเหลืองบประมาณอยู่ 4-5 หมื่นล้านบาท รัฐบาลสามารถนำมาดูแลในเรื่องที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับสถานการณ์ได้