'พีระพันธุ์' สั่งแผนรับมือ 'ฮอร์มุซ' ยันสำรองน้ำมัน 60 วัน งัดกองทุนฯ สู้ราคา

"พีระพันธุ์" ย้ำแผนรับมือ "อิหร่าน" ขู่ปิด "ช่องแคบฮอร์มุซ" ยันไทยมีน้ำมันสำรอง 60 วัน ชูกลไกกองทุนน้ำมันฯ หนึ่งในมาตรการสู้ราคาน้ำมันโลกทะลุเพดาน
วันนี้ (23 มิถุนายน 2568) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เชิญผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน สงครามอิสราเอล-อิหร่าน หลังจากสหรัฐได้โจมตี 3 โครงการนิวเคลียร์อิหร่านเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับอิหร่านเป็นอย่างมาก และรัฐสภาอิหร่านลงมติเห็นชอบในการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางในการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้ supply น้ำมันหายไปประมาณ 20% ของความต้องการโลก
โดยในส่วนของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันดิบประมาณ 90% และมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางประมาณ 60% โดยนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต ซาอุดีอาระเบีย และโอมาน ซึ่งต้องขนส่งทางเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
กระทรวงพลังงาน ได้มีการเตรียมฉากทัศน์ (scenario) ในรูปแบบต่างๆ เพื่อรองรับสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน หากทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก และระยะเวลาในการปิดช่องแคบฮอร์มุซที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เพื่อดำเนินมาตรการ การจัดเตรียมปริมาณน้ำมันสำรองภายในประเทศ รวมทั้งการเตรียมหามาตรการช่วยเหลือด้านราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศผ่านกลไก กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
โดย ณ ปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ประมาณ 72 ดอลลาร์ และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ส่วนในด้านปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2568 มีน้ำมันดิบ เพียงพอต่อความต้องการใช้ 22 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง (ผ่านช่องแคบฮอร์มุซแล้ว) เพียงพอต่อความต้องการใช้ 20 วัน และน้ำมันสำเร็จรูปเพียงพอต่อความต้องการใช้ 18 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน
ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะมีการบริหารจัดการเพื่อรักษาเสถียรภาพปริมาณน้ำมันสำรองภายในประเทศเพื่อสร้างความมั่นคง และความเชื่อมั่นภายในประเทศ
ในส่วนของสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการดูแลด้านราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบหากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2568 สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ติดลบประมาณ 35,408 ล้านบาท โดยเป็นบัญชีก๊าซหุงต้มติดลบ 44,403 ล้านบาท และในส่วนของบัญชีน้ำมันสถานะเป็นบวก 8,995 ล้านบาท
ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้มีการปรับลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งน้ำมันเบนซิน และดีเซลไปแล้วรวม 4 ครั้ง เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันให้กับประชาชน
ในส่วนของ ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ก็ต้องนำเข้าผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน ดังนั้นเพื่อเตรียมรับผลกระทบต่อราคาไฟฟ้า ตน พีระพันธุ์ จึงสั่งการให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เตรียมหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากแหล่งอื่นที่มีราคาถูก เพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าวนี้ด้วยแล้ว
"หลัง สถานการณ์อิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรงมากขึ้น ผมจึงเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นการเร่งด่วนเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ โดยการนำเข้าน้ำมันที่ต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ได้เตรียมแผนในการจัดหาจากแหล่งอื่นทดแทน โดยต้องคำนึงถึงต้นทุนราคาพลังงานเป็นสำคัญ รวมทั้งเตรียม Scenario ต่างๆ เพื่อรองรับโดยเฉพาะด้านราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศ และก๊าซ LNG ที่ต้องใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยด้านราคาน้ำมัน ส่วนหนึ่งจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมารักษาเสถียรภาพด้านราคา รวมทั้งอาจจะขอความร่วมมือกับกระทรวงการคลังในการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงพุ่งสูงขึ้น ในด้านปริมาณสำรอง ก็จะทำการจัดหาน้ำมันดิบจากแหล่งอื่นในภูมิภาคทดแทน และอาจเพิ่มปริมาณสำรองมากขึ้น ส่วนก๊าซ LNG จะสั่งการให้ กฟผ. เร่งเตรียมหาแหล่งก๊าซ LNG ราคาถูกมาเตรียมไว้
ขอยืนยันว่า กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตาม และประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเตรียมแนวทางการบริหารจัดการด้านราคา และปริมาณสำรองภายในประเทศ หากการสู้รบรุนแรง และยืดเยื้อ จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และขอให้มั่นใจว่ากระทรวงพลังงาน จะติดตามสถานการณ์ และดำเนินทุกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา และปริมาณสำรองน้ำมัน และขอให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัดเพื่อลดการนำเข้า ก็จะช่วยให้ประเทศลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้อีกทางหนึ่งด้วย” นายพีระพันธุ์ กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







