ครึ่งปีหลัง“โอเปก”ชี้ดีมานด์น้ำมันเพิ่ม “ไทย”คงเสถียรภาพปริมาณ-ราคา

แนวโน้มตลาดน้ำมันโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 สาระส่วนหนึ่งในรายงาน OPEC Monthly Oil Market Report (16 June 2025)
ระบุว่า เศรษฐกิจโลกมีผลงานดีเกินคาดในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 โดยข้อมูลบ่งชี้ว่าการเติบโตในอินเดีย จีน และบราซิลในไตรมาสแรกของปี 2025 ดีกว่าที่คาดไว้ส่วนสหรัฐพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่ยูโรโซนฟื้นตัวเล็กน้อยจากปีที่แล้ว
จากพื้นที่ฐานที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 คาดว่าจะให้การสนับสนุนและโมเมนตัมที่เพียงพอสำหรับครึ่งหลังของปี 2025 จากปัจจัยบวกข้อสรุปข้อตกลงการค้าบางส่วนระหว่างสหรัฐและคู่ค้าต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดความไม่แน่นอนต่างๆลงได้ และคาดว่าการค้าอาจกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้บางส่วนลดการบิดเบือนการเติบโตทางการค้าลงได้
ดังนั้นการบริโภคและการลงทุนคาดว่าจะยังคงมีความมั่นคงท่ามกลางความชัดเจนหลัง 90 วันหรือช่วงก.ค.-ส.ค. ด้านการเก็บภาษีศุลกาการของสหรัฐ นำไปสู่คาดว่าความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะเติบโตโดยเฉลี่ย 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในครึ่งหลังของปี 2025 และคาดว่าจะขยายตัว 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน
"ปริมาณการบริโภคน้ำมันใน OECD คาดว่าความต้องการน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 90 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในครึ่งหลังของปี 2568 โดยส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยสหรัฐ ในแง่ของผลิตภัณฑ์ น้ำมันก๊าดเจ็ทและน้ำมันเบนซินถูกกำหนดให้เป็นตัวขับเคลื่อนความต้องการน้ำมันหลักในภูมิภาคจากฤดูกาลขับรถในฤดูร้อนและกิจกรรมการเดินทางทางอากาศที่ยังคงดีอยู่ อย่างไรก็ตาม คาดว่าความต้องการน้ำมันดีเซลจะลดลงเนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการผลิตที่ซบเซาลง และความต้องการแนฟทาอาจได้รับแรงกดดันจากอัตรากำไรของปิโตรเคมีที่ลดลง โดยรวมแล้ว คาดว่าความต้องการน้ำมันของ OECD จะอยู่ที่ 160 ตันบาร์เรลต่อวันในปี 2025
สำหรับประเทศนอก OECD คาดว่าเอเชียอื่นๆ จะเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนความต้องการน้ำมัน โดยจีนและอินเดียให้การสนับสนุนอย่างมาก ความต้องการน้ำมันได้รับการมองว่าได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศอย่างต่อเนื่อง ระดับการขับขี่ที่ดีรวมถึงการปรับปรุงกิจกรรมของภาคการผลิต คาดว่าความต้องการน้ำมันนอก OECD จะเติบโตโดยเฉลี่ย 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ปีต่อปี ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ในแง่ของผลิตภัณฑ์หลัก น้ำมันเบนซินและเชื้อเพลิงเจ็ตจะเป็นผู้นำการเติบโตของความต้องการน้ำมันในภูมิภาค รองลงมาคือดีเซล LPG และแนฟทา(ผลิตภัณฑ์จากการกลั่น) โดยรวมแล้ว คาดว่าความต้องการน้ำมันนอกกลุ่ม OECD จะอยู่ที่ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2025
การจัดประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 5/2568 เมื่อสัปดาห์ก่อน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานปรับปรุงโครงสร้างพลังงานให้มีความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งขอให้ติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิหร่านและอิสราเอลอย่างใกล้ชิด
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะกระทรวงเจ้าภาพการจัดประชุม ได้รายงานสถานการณ์ด้านพลังงาน ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีการนำเข้าและมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 93% เมื่อเทียบกับความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีการใช้ไฟฟ้า 2.1 แสนล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5% และความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือ Peak อยู่ที่ 36,792 เมกะวัตต์หรือเพิ่มขึ้นถึง 5%
นอกจากนั้น ในส่วนของภารกิจสำคัญของกระทรวงพลังงาน ได้นำเสนอการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ทั้งการบริหารจัดการเพื่อลดค่าไฟฟ้า ซึ่งตลอดปี 2567 จนถึงปัจจุบัน อัตราค่าไฟฟ้าก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนค่าน้ำมัน กระทรวงพลังงานก็ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยในยามที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาสูง และบริหารจัดการจนสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากมีหนี้กว่า 120,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว จนปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 36,200 ล้านบาท รวมทั้งยังมีการตรึงราคาก๊าซหุงต้มหรือ LPG และ NGV ซึ่งเป็นต้นทุนในการประกอบอาชีพของประชาชน
นอกจากนี้ ยังได้เร่งขับเคลื่อน “เศรษฐกิจสีเขียว” ด้านพลังงานที่ครอบคลุมทั้งการใช้และการจัดหา โดยในด้านการใช้ ได้เริ่มต้นการส่งเสริมการลดการใช้พลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งทำให้ปีที่ผ่านมา สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 110 ล้านหน่วย และลดการใช้น้ำมันได้กว่า 4 ล้านลิตร การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
ด้านการจัดหา ได้เร่งพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน และลดขั้นตอนการขออนุญาตเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและเอกชน สามารถเข้าถึงและให้เกิดการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Rooftop รวมทั้งการเปิดประมูลสัมปทานขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมทั้งพื้นที่บนบกและในทะเล และการพิจารณาความเป็นไปได้ของการจัดหา LNG จากแหล่งอะแลสกา ซึ่งเป็นแหล่งทางเลือกที่มีศักยภาพและอาจช่วยลดต้นทุนการจัดหา LNG ของประเทศได้
ในด้านสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมา ก็ได้ร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรุงเทพมหานคร ในการร่วมกันลดฝุ่น PM2.5 และในอนาคตก็ได้วางแผนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR (โรงไฟฟ้าจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก) การส่งเสริมการใช้น้ำมัน SAF ในอุตสาหกรรมการบิน โดยร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) กระทรวงอุตสาหกรรม และ กระทรวงการคลัง ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเทรนด์โลกที่กำลังจะมา รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมให้เป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS
ส่วนการบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายระหว่างกระทรวงพลังงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการหารือในที่ประชุมที่สำคัญ อาทิ การขอเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ด้านปิโตรเลียม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ กรมศิลปากร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การส่งเสริมการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม การส่งเสริมการใช้ Solar Rooftop หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุทกศาสตร์ กรมเจ้าท่า เป็นต้น
"ส่วนในเรื่องของการสู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน กระทรวงพลังงานพร้อมดูแลทั้งมิติด้านราคาไม่ให้ส่งผลกระทบกับประชาชนโดยอาศัยกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพ และมิติด้านความมั่นคง ก็ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปริมาณสำรองน้ำมันให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และพร้อมปรับปรุงโครงสร้างพลังงานให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป”
นอกจากนั้นในปีหน้าประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ Gastech 2026 ซึ่งเป็นการประชุมและแสดงนิทรรศการด้านก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะจัดในเดือนก.ย. 2569 คาดว่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศได้กว่า 4,100 ล้านบาท
กระทรวงพลังงาน ยังคงมุ่งเน้น 3 เสาหลักสำคัญในการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน ได้แก่ 1. ความมั่นคงทางพลังงาน โดยภาคการผลิตและการใช้ต้องมีความมั่นคง เร่งจัดหาแหล่งพลังงานราคาถูกเพิ่มขึ้น 2. พลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าสีเขียวเพื่อดึงดูดให้ต่างชาติหันมาลงทุนตั้งโรงงานและ Data Center ในประเทศ 3. พลังงานคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาด ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานทั้งภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรม"







