อุตสาหกรรมสร้างชาติ : สำนึกแห่งการผลิตและการอุตสาหกรรม

ผมยังเชื่อในคำขวัญที่ว่า อุตสาหกรรมสร้างชาติ ไม่ได้หมายความว่า ภาคอุตสาหกรรมสำคัญที่สุด เพราะทุกภาคส่วน ล้วนแต่มีความสำคัญในแง่มุมที่ต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็น ภาคพาณิชยกรรม ภาคเกษตรกรรม ภาคการเงิน หรือ ภาคบริการ และทุกภาคส่วนก็เป็น “องค์รวม” ที่ร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองรอบตัวเรา ก็จะเห็นได้ว่า “ปัจจัย 4” ของชีวิตคน รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ล้วนแต่มาจากภาคการผลิต (ภาคอุตสาหกรรม) ที่สร้างขึ้นมาให้จับต้องเป็นรูปธรรมที่ใช้งานเป็นประโยชน์ได้
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและโรงงาน จึงเป็น “เสาหลัก” อีกต้นหนึ่งของการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยสู่มาตรฐานสากล
ทุกวันนี้ โรงงานอุตสาหกรรม (ภาคการผลิต) เป็นแหล่งของ การสร้างงาน สร้างรายได้ ผลิตสินค้าและบริการ สร้างโอกาส เพิ่มมูลค่า ขยายการส่งออก พัฒนาการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม สนับสนุนห่วงโซ่อุปทาน รับผิดชอบต่อสังคม และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืน
ในขณะเดียวกัน โรงงานก็สร้างปัญหาให้แก่สังคมไม่น้อยด้วย เช่น การเกิดอุบัติเหตุอันตราย อัคคีภัย การระเบิด และเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษสิ่งแวดล้อม กากขยะอุตสาหกรรม เป็นต้น
แต่โดยภาพรวมของทั้งโลกแล้ว ภาคการผลิต (ภาคอุตสาหกรรม) ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะพัฒนาการด้านความเติบโตทางเศรษฐกิจสังคมและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ขณะเดียวกันทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างก็ร่วมมือกันป้องกันและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและอันตรายต่างๆ จนเบาบางลงในปัจจุบัน เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน และปัญหาอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่บนโลก
สิ่งสำคัญที่ภาคการผลิต แตกต่างจากภาคพาณิชยกรรม ภาคการเงิน ภาคการเกษตร และภาคบริการ ก็คือ “การสร้างมูลค่าเพิ่มในกระบวนการผลิต” (Value Added in Production Process)
ด้วยการแปรรูปวัตถุดิบให้กลายเป็นสินค้า คือ สร้างสิ่งของที่จับต้องใช้งานได้ ซึ่งต่างจากการซื้อมาขายไป หรือ การแลกเปลี่ยน ที่มุ่งถึง “กำไร” เป็นหลัก
ในแต่ละกระบวนการผลิตนั้น จะมีการกำหนดขั้นตอนการทำงานที่เรียงตามลำดับจากขั้นตอนที่ 1 ไปขั้นตอนที่ 2 ไป 3, 4, 5 ที่ต้องทำกันตามขั้นตอนที่ได้ออกแบบไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งพนักงานก็จะทำงานส่งต่อกันตามลำดับขั้นตอนที่กำหนดไว้ก่อนหลังนั้น
จึงเป็นการค่อยๆ ประกอบชิ้นส่วน (ชิ้นงาน) ต่างๆ ที่ได้จากการผลิตของแต่ละขั้นตอนเพิ่มเติมต่อกันเข้าไป จนรวมกันเข้าเป็น “สินค้าสำเร็จรูป” ชิ้นหนึ่งๆ ในขั้นตอนสุดท้ายที่จะส่งไปขายในตลาดต่อไปได้
แต่ละขั้นตอนที่ส่งต่อ เพื่อทำกันอย่างต่อเนื่องนั้น ก็จะเป็น “การสร้างมูลค่าเพิ่ม” ที่ละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนที่ทำ และค่อยๆ ประกอบเสริมต่อกันจนเป็น “สินค้า” ชิ้นหนึ่งๆ เป็นการเพิ่ม “ต้นทุน” ทีละขั้นตอน
ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทีละขั้นตอนในกระบวนการผลิต จนได้ “ต้นทุนรวม” ในขั้นตอนสุดท้าย ของสินค้าที่ผลิตได้ จนเป็น “ต้นทุน” ของสินค้าชิ้นนั้นๆ ที่จะนำไปกำหนด “ราคาขาย” ต่อไป
ผู้คนในภาคการผลิตหรือภาคอุตสาหกรรม จึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกระบวนการผลิตอย่างถ่องแท้ครบวงจร ตั้งแต่ต้นจนจบ คือ ตั้งแต่ “วัตถุดิบ-กระบวนการผลิต-สินค้า” (Input-Process-Output) ซึ่งต่างจากการพาณิชยกรรมที่เป็นการซื้อมาขายไปจากตัว “สินค้า” สุดท้ายเป็นหลัก เพื่อขายเอากำไรจากต้นทุนที่ซื้อมาของสินค้าหนึ่งๆ
ในขณะที่ภาคการผลิต ต้องเน้นเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มของแต่ละขั้นตอนการผลิตเรียงตามลำดับ ซึ่งเท่ากับให้ความสำคัญกับต้นทุนที่บวกเพิ่มตามแต่ละขั้นตอนของการผลิตจนเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ผู้บริหารในภาคการผลิต (ภาคอุตสาหกรรม) จึงรู้ถึง “ต้นทุน” ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบเป็น “สินค้า” ในขณะที่ภาคพาณิชยกรรมที่ซื้อมาขายไป จะรู้แต่ราคาที่ซื้อสินค้ามาก่อนบวกกำไรเพื่อขายต่อไป คือรู้เพียงต้นทุนรวม แต่ไม่ได้รู้ต้นทุนของแต่ละขั้นตอนการผลิต
ภาคการผลิต จึงสามารถปรับลดต้นทุนส่วนเกินในกระบวนการผลิตได้ง่ายกว่า เพราะรู้ว่าขั้นตอนไหนต้นทุนการผลิตสูงเกินไป เพราะอะไร จะปรับลดอย่างไรได้บ้าง ขั้นตอนไหนควรจะเพิ่มผลิตภาพ เพื่อให้ต้นทุนรวมของสินค้าลดลง
เพื่อจะได้กำหนดราคาขายสินค้าที่ออกจากโรงงานได้เหมาะสมยิ่งขึ้น (เพื่อขายได้ง่ายขึ้น และแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น) ซึ่งจะเป็นราคาต้นทุนขายของภาคพาณิชยกรรมต่อไป
การเพิ่มมูลค่า (การสร้างมูลค่าเพิ่ม) ในกระบวนการผลิตดังกล่าวข้างต้นนี้ จึงไม่ต่างจากการทำงานที่เป็นกระบวนการต่อเนื่องกันตามลำดับจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งหรือจากขั้นตอนที่เรียงลำดับกันไป หากจุดใด หรือ ขั้นตอนใดทำให้เกิดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือมีปัญหา เราก็ต้องปรับแก้ที่จุดนั้นๆ เพื่อตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป
ภาคการผลิต จึงเกี่ยวข้องกับ “ความสามารถในการแข่งขัน” มากกว่าภาคส่วนอื่นๆ เพราะเกี่ยวข้องกับต้นทุนการผลิตอย่างใกล้ชิดมากกว่าภาคส่วนอื่นๆ นอกจากนี้ “เทคโนโลยี และ นวัตกรรม” ก็เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตอย่างชัดเจน มากกว่าภาคส่วนอื่นๆ ด้วย
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ เพียงต้องการชี้ให้เห็นถึง ความสำคัญของการบ่มเพาะจิตสำนึกของ “การผลิต” หรือ “การอุตสาหกรรม” ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “การสร้างมูลค่าเพิ่ม” ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิต ให้แพร่หลาย เพื่อธุรกิจอุตสาหกรรมในบ้านเราจะได้มีความสารารถในการแข่งขันมากขึ้น ครับผม !
คือ อะไรที่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม ก็ไม่ควรทำ ครับผม !







