'ปตท.-SCG' เขย่าพอร์ต ตัดทิ้งธุรกิจ 'รักษาสภาพคล่อง'

'ปตท.-SCG' เขย่าพอร์ต ตัดทิ้งธุรกิจ 'รักษาสภาพคล่อง'

“ปตท. – เอสซีจี” ปรับโครงสร้างองค์กร โละธุรกิจไม่ทำเงิน เทขายหุ้นทั้งในและต่างประเทศ ลดลงทุนซ้ำซ้อน มุ่งเน้น Core business แกนหลัก รับมือยุคเศรษฐกิจขาลง

สองยักษ์ใหญ่ "ปตท.-เอสซีจี" กำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญ เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการมุ่งเน้นธุรกิจหลักที่ถนัดและสร้างผลกำไร ลดการลงทุนซ้ำซ้อน และตัดทิ้งธุรกิจที่ไม่ทำกำไรอย่างเด็ดขาด

นี่คือสัญญาณการเปลี่ยนผ่านกลยุทธ์ครั้งใหญ่ขององค์กรพลังงานและปิโตรเคมีชั้นนำของไทย เพื่อความอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวเน้นย้ำตลอดรับตำแหน่ง CEO ปตท. ตลอด 1 ปี ถึงวิชั่น ว่า กลุ่ม ปตท.จะเน้นดำเนินธุรกิจที่ถนัดและสร้างรายได้ให้องค์กร

เห็นได้ชัดในงานแถลงข่าวล่าสุดถึงกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ เช่น การขนส่งผลไม้โดยรถไฟเลิกหมดแล้ว ซึ่งกลุ่ม ปตท.จะออกจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของกลุ่ม และเน้นเฉพาะที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักและสร้าง Synergy ภายในกลุ่มได้ เช่น เพิ่มธุรกิจ Oil & Gas เพื่อลดการลงทุนซ้ำซ้อน สร้างความแข็งแรงและรายได้มากขึ้น

นายคงกระพัน กล่าวว่า ปตท.กำลังศึกษาแนวทางรับมือกับธุรกิจปิโตรเคมีขาลง โดยหนึ่งในแนวทางที่อยู่ระหว่างการศึกษาคือ การหาพันธมิตรต่างชาติเพื่อร่วมดำเนินธุรกิจในบริษัทลูก ประกอบด้วย บริษัท ปตท. โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2568 โดย ปตท.จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เช่นเดิม

กรุงเทพธุรกิจ” รายงานว่า กลุ่ม ปตท.ขยายธุรกิจโลจิสติกส์ก่อนหน้านี้ โดยเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2565 บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า คณะกรรมการบริษัท สยาม แมนเนจเมนท์ โฮลดิ้ง จำกัด (SMH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.มติอนุมัติตั้งบริษัท โกลบอล มัลติโมดัล โลจิสติกส์ จำกัด (GML) โดย SMH ถือหุ้นสัดส่วน 100% ด้วยทุนจดทะเบียน 230 ล้านบาท

ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ โดยเน้นการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายขนส่งทั้งหมดของไทย รวมถึงระบบขนส่งเชื่อมต่อระหว่างประเทศ โดยมีบริการหลัก อาทิ การขนส่งสินค้าทางราง ทางทะเล ทางบกและทางอากาศ การบริหารจัดการคลังสินค้าห้องเย็น รวมถึงการบริหารและให้เช่าทรัพย์สินสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโลจิสติกส์

รวมทั้งเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ให้ผู้ประกอบการ โดยการจัดตั้งงบริษัทของ ปตท. ดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และกลยุทธ์ New S-Curve ของ ปตท. ในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน

สำหรับการต่อยอดธุรกิจของ GML ช่วงปี 2566 ได้ลงนามความร่วมมือกับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านระบบการขนส่งทางราง มุ่งสร้างเครือข่ายด้านโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้สินค้าเกษตรของไทยสามารถเข้าสู่ตลาดการค้าในภูมิภาค อาทิ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาชนลาว กัมพูชา เป็นต้น

“เอสซีจี” ลดสัดส่วนการถือหุ้น CAP ในอินโดฯ

ล่าสุด (12 มิ.ย. 2568) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ที่บริษัทฯ ถือหุ้นทั้งหมด จะปรับสถานะการลงทุนใน PT Chandra Asri Pacific Tbk (CAP) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอินโดนีเซียที่ SCGC ถือหุ้นในสัดส่วน 30.57% จากเดิมที่เป็นบริษัทร่วม (Associated Company) เป็นการลงทุนอื่น (Other Investments)

โดย SCGC อยู่ระหว่างเตรียมการลดสัดส่วนการถือหุ้นใน CAP ลงจำนวน 10.57% และลดการมีส่วนร่วมในการบริหาร CAP ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ปัจจุบันของ SCGC ในการลดภาระทางการเงิน (Deleverage) และ จัดสรรเงินทุนใหม่เพื่อโอกาสทางธุรกิจในอนาคต

ทั้งนี้ PT Chandra Asri Pacific Tbk (PTCAP) เป็นบริษัทในกลุ่ม Barito Group ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงาน, เคมี, และโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทมีโรงงานปิโตรเคมีครบวงจร และเป็นผู้ผลิต Olefins และ Polyolefins คุณภาพสูงเพียงแห่งเดียวในประเทศ และยังเป็นผู้ผลิต Styrene Monomer และ Butadiene รายเดียวในประเทศอีกด้วย

“หากเทียบธุรกิจโลจิสติกส์กับธุรกิจรีไซเคิลโพลิเมอร์ที่มีความคุ้มค่ากว่า บริษัทฯ ก็ต้องทำในสิ่งที่ดีกว่าเพื่อให้ได้ความคุ้มค่าในระยะยาว เป็นธรรมชาติของการทำธุรกิจ พร้อมประกาศลดต้นทุนทั้งองค์กร ปิดกิจการที่ไม่กำไรและตัดขายสินทรัพย์”

“กรุงเทพธุรกิจ” ตรวจสอบข้อมูล บริษัท เอสซีจี เอ็กซ์เพรส จำกัด ได้แจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า จดทะเบียนวันที่ 22 ก.ย.2559 ทุนจดทะเบียน 1,463 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจที่ดำเนินการให้บริการขนส่งพัสดุด่วนทั้งแบบทั่วไปและพัสดุประเภทอาหารที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิเป็นพิเศษ เพื่อตอบโจทย์ขยายธุรกิจลูกค้าในตลาด E-Commerce รวมทั้งบริการของลูกค้ากลุ่มธุรกิจ B2B (ธุรกิจถึงธุรกิจ) B2C (ธุรกิจถึงลูกค้าผู้บริโภค) และ C2C (ผู้บริโภคถึงผู้บริโภค)

ในขณะที่ผลดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง โดยปี 2566 ขาดทุน 184 ล้านบาท , ปี 2565 ขาดทุน 247 ล้านบาท , ปี 2564 ขาดทุน 212 ล้านบาท , ปี 2563 ขาดทุน 216 ล้านบาท และปี 2562 ขาดทุน 305 ล้านบาท