เปิดผลวิเคราะห์จัด F1 ในไทย รัฐทุ่น 4 หมื่นล้าน เสี่ยงกระทบการคลัง

"รัฐทุ่ม 4 หมื่นล้านจัด F1 ในไทย เสี่ยงกระทบการคลัง สลค.ชี้หากขาดทุนรัฐรับภาระเต็ม แนะ 5 ข้อ เสนอรัฐเร่งดึงเอกชนร่วมลงทุน-เปิดรับฟังประชาชน"
KEY
POINTS
- โครงการจัดแข่ง F1 ในกทม.วงเงิน 41,379 ล้านบาท สลค.ชี้เสี่ยงกระทบการคลังเนื่องจากเป็นวงเงินที่สูงมากและรัฐลงทุนเองทั้งหมด ทั้งค่าธรรมเนียมและโครงสร้างพื้นฐาน อาจเป็นภาระงบประมาณในอนาคต
- เปิดผลวิเคราะห์ชี้ทุกกรณีคาดว่าจะขาดทุน 9.7 พันล้าน - 1.07 หมื่นล้าน
- สลค.ชี้ควรเร่งดึงภาคเอกชนร่วมลงทุน-ลดภาระรัฐ เพิ่มกลไกสิทธิประโยชน์เพื่อดึงเอกชน พิจารณาตั้งงบรายปีตามความจำเป็นหากเอกชนร่วมไม่เพียงพอ
- ควรรับฟังประชาชน-ศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน ศึกษาผลกระทบผังเมือง สิ่งแวดล้อม จราจร และวิถีชีวิตประชาชน เปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างโปร่งใส
หลังจากมีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อเร็วๆนี้ให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโครงการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP หรือการจัดการแข่งขันรถยนต์ "Formula One" หรือ “F1” ในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมเป็นระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งตั้งแต่ปี 2571-2575 ภายใต้กรอบวงเงินกว่า 41,379 ล้านบาท
แม้ว่าจะมีการคาดหวังผลดีที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้จำนวนมากทั้งจากการดึงดูดการท่องเที่ยว การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง การจ้างงาน ที่เพิ่มขึ้นเมื่อมีการจัดมหกรรมนี้ขึ้น แต่เนื่องจากวงเงินกว่า 4 หมื่นล้านบาทถือว่าเป็นวงเงินที่สูงมากโดยเฉพาะเป็นการลงทุนจากรัฐบาลทำให้มีประเด็นเรื่องความเสี่ยงทางด้านการคลังเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดแข่งขัน F1 ในประเทศไทยว่า ในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับวงเงินที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอขอมายังที่ประชุมครม.นั้น หลายหน่วยงานให้ความเห็นว่าเป็นวงเงินที่ค่อนข้างสูง
โดยการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ F1 ในประเทศไทย ภายในกรอบวงเงิน 41,379 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เสนอในครั้งนี้ ใช้รูปแบบการลงทุนโดยภาครัฐทั้งหมด
โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ค่าธรรมเนียมสิทธิในการจัดการแข่งขัน และการบริหารจัดการตลอดระยะเวลาของการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันดังกล่าวถือเป็นวงเงินที่ค่อนข้างสูง และอาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินการคลังของประเทศในอนาคต โดยเฉพาะในบริบทที่ภาครัฐมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและภาระทางการคลังจากภารกิจจำเป็นอื่น ๆ ที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป
ชี้ข้อดีการลงทุนโดยรัฐ
โดยจากผลการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้แสดงให้เห็นว่า แม้การลงทุนโดยภาครัฐทั้งหมดจะมีข้อดีบางประการ เช่น การควบคุมทิศทางของโครงการได้อย่างเต็มที่ และการรักษาผลประโยชน์สาธารณะในภาพรวมของประเทศ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นต่อเจ้าของสิทธิในระดับนานาชาติได้
แต่ก็มีข้อเสียที่สำคัญ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านการขาดทุนที่ตกอยู่กับภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งหากการเป็นเจ้าภาพ ดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย อาจก่อให้เกิดภาระทางการคลังอย่างมีนัยสำคัญ
ผลวิเคราะห์ 3 กรณีกำไรสุทธิติดลบ
นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ความคุ้มค่ากรณีวัดผลประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดงานในรูปรายได้ จากการจัดงาน (ไม่รวมการพิจารณาความคุ้มค่าจากปัจจัยด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจ) ปรากฏว่า ในการวิเคราะห์รายได้ค่าใช้จ่ายของโครงการทั้งกรณีฐาน กรณีที่ดีกว่าคาดการณ์ และกรณีที่แย่กว่าคาดการณ์ ของการเสนอขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ F1 ทั้ง 3 กรณี จะไม่สามารถสร้างรายได้จากการจัดงานรวมมากกว่างบประมาณค่าใช้จ่ายในการจัดงานและลงทุนไป ทำให้มีมูลค่ากำไรสุทธิติดลบทั้ง 3 กรณี ดังนี้
1.กรณีฐานมูลค่ากำไรสุทธิจะติดลบ 9,788 ล้านบาท
2.กรณีที่ดีกว่าคาดการณ์มูลค่ากำไรสุทธิจะติดลบ 6,824 ล้านบาท
และ 3.กรณีที่แย่กว่าคาดการณ์มูลค่ากำไรสุทธิจะติดลบ 10,752 ล้านบาท
ทั้งนี้ สลค.ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าในเรื่องการเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ F1 เป็นเรื่องในเชิงนโยบายที่คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาได้ เนื่องจากเป็นการดำเนินการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านซอฟต์พาวเวอร์ และสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาให้เติบโตในระยะยาว
แนะ 5 ข้อจัดแข่งอย่างรอบคอบ
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความรอบคอบ และไม่เป็นภาระต่องบประมาณมากเกินความจำเป็นเห็นสมควรที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะพิจารณาแนวทางการดำเนินการในเรื่องนี้ในแนวทางต่างๆดังต่อไปนี้
1.ในการจัดแข่ง F1 ในไทยขอให้พิจารณาให้ครบถ้วนและครอบคลุมผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะแนวทางในการเพิ่มรายได้และลดภาระงบประมาณภาครัฐเพิ่มเติม เช่น การออกแบบกลไกการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น
2.ควรดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งบัญญัติให้การดำเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม และความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย
3.ให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อจำกัดและข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ข้อจำกัดตามผังเมือง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการจราจร และความพร้อมของเมืองเจ้าภาพ และจากประเด็นความท้าทายทางสังคมที่อาจจะต้องทำให้เกิดการรบกวนชุมชน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการเดินทาง รวมถึงประชาชนในพื้นที่ถูกบังคับให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน
4.ควรรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเปิดเผยและโปร่งใส เพื่อให้การดำเนินการเป็นเจ้าภาพอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่รอบด้านและลดความเสี่ยงในการเกิดข้อขัดแย้งในระยะยาว และขอให้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย
และ 5.พิจารณาการขอรับการสนับสนุนจากภาคเอกชน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐ หากไม่เพียงพอสามารถตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความจำเป็น และเหมาะสม ทั้งนี้ หากได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและมีเงินคงเหลือ ให้นำส่งและคืนเงิน ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป