จับตาส่งออกไทย อ่อนแรง หลัง 5 เดือนตัวเลขพุ่งจากเร่งส่งออกหนีภาษีสหรัฐ

ส่งออก-นำเข้า ประเทศภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทย เดือนพ.ค. ขยายตัวสูง จากการเร่งส่งออกสินค้า หนีภาษีสหรัฐ ดันตัวเลขส่งออกพุ่ง จับตาส่งออกไทยเดือนมิ.ย. แผ่ว หลังเร่งส่งออก
KEY
POINTS
Key Point
- ส่งออกประเทศภูมิภาคเอเชียเดือนพ.ค.พุ่ง เร่งหนีส่งออกสินค้า หนีภาษีสหรัฐ อาทิ จีน ไต้หวัน เวียดนาม สิงคโปร์ และไทย
- การนำเข้าของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคอยู่ในทิศทางขยายตัว เนื่องจากการนำเข้าเพื่อผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก
- ปัจจัยสำคัญทำให้หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียส่งออกขยายตัวสูง มาจากการเร่งส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐ
- ส่งออกเดือนมิ.ย.มีสัญญาณการชะลอตัว
- เจรจาภาษีสหรัฐยังไม่มีความคืบหน้า
การส่งออกของไทยเดือนพ.ค. 2568 พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้งการขยายตัวและมูลค่าการส่งออก โดย ขยายตัว18.4 % ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 38 เดือน นับตั้งแต่มี.ค. 2565
ขณะที่มูลค่าการส่งออก 31,044.6 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นมูลค่าการส่งออกรายเดือน สูงสุดในประวัติศาสตร์ โดย สินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 22.9% สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 8.1 %
ส่งผลให้ภาพรวม 5 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกไทยขยายตัว 14.9 % หากไม่รวมสินค้าน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย จะขยายตัวที่ 13.9 %
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวถึง 18.4 % มาจากการชะลอการบังคับใช้ภาษี ศุลกากรต่างตอบแทนของสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่อง อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
ในขณะที่สินค้าเกษตรกลับมาขยายตัวจากการส่งออกมันสำปะหลัง และผลไม้ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทุเรียน เงาะ และมังคุด
ตลาดส่งออกสำคัญที่เติบโตดี ได้แก่ ตลาดสหรัฐขยายตัว 35.1% โตต่อเนื่อง 20 เดือน , จีน 28.0% , ตะวันออกกลาง 22.8% , เอเชียใต้ 22.3% , แอฟริกา 21.4% , สหภาพยุโรป 16.6% และอาเซียน 8.8%
ขณะที่การส่งออกของไทยเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียก็มีทิศทางไปในทางเดียวกัน จากข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ในเดือนพ.ค.การส่งออกของประเทศส่วนใหม่ในภูมิภาคขยายตัว อาทิ ไต้หวัน ขยายตัว 38.6 % รวม 5 เดือน ขยายตัว 24.3 % เวียดนาม 17.0 % รวม 5 เดือน ขยายตัว 13.7 % สิงคโปร์ 7.0 % รวม 5 เดือน ขยายตัว 8.2 % จีน 4.8 % รวม 5 เดือน 5 % เหตุผลสำคัญก็มาจากการเร่งส่งออกสินค้า ก่อนที่มาตรการยกเว้นภาษีของสหรัฐ 90 วันจะสิ้นสุดลง
ขณะที่การนำเข้าของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคอยู่ในทิศทางขยายตัวเช่นกัน ส่วนหนึ่งมาจากประเทศผู้นำเข้าเร่งสั่งซื้อสินค้าในช่วงที่สหรัฐชะลอการบังคับใช้ภาษีต่างตอบแทน อาทิ ไต้หวัน การนำเข้าขยายตัว 25.0 % ไทย % เวียดนาม 14.1 %สิงคโปร์ 3.8 % อินเดีย ติดลบ 1.7 % จีน ติดลบ 3.4 % เป็นต้น
จากข้อมูลจะเห็นว่า การส่งออกในเดือน พ.ค.ในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชียที่ขยายตัวสูงมาจากการเร่งส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐ รวมถึงไทย ซึ่งตัวเลขการส่งออกที่สูงทำให้ “พิชัย นริพทะพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถึงกับบอกว่า ปี 2568 จะเป็น ‘ปีทอง’ ของการส่งออก โดยมั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะเห็นการขยายตัวสองหลัก ซึ่งต้องการเห็น 10% ขึ้นไป เพราะ 5 เดือนแรกก็เกือบ 15% ทำได้ขนาดนี้
อย่างไรก็ตามแม้กระทรวงพาณิชย์จะปลื้มตัวเลขแต่ตัวเลขดังกล่าวอาจไม่ได้สะท้อนกับภาคการผลิตที่แท้จริงแต่เป็นการเร่งส่งออก ระบายสต๊อก และอาจสวมสิทธิ์ส่งออกสินค้าไทย ทำให้หลายคนมองว่า การส่งออกในครึ่งปีนี้น่าจะชะลอตัวลง โดยเริ่มเห็นจากตัวเลขการส่งออกในเดือนมิ.ย.เป็นต้นไป
โดยในระยะข้างหน้าภาคการส่งออกยังคงเผชิญความท้าทายอีกหลากหลายด้านทั้งจากปัญหาจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ กรณีสหรัฐขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้า และล่าสุดยังมีปัญหาเรื่องการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ซึ่งแต่ละเรื่องก็ยังไม่จบไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ โดยเฉพาะมาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้า ซึ่งจะครบกำหนดการบังคับใช้ในวันที่ 9 ก.ค.ซึ่งหลายประเทศที่เข้าที่โดนภาษีสหรัฐก็กำลังเร่งเจรจาเพื่อหาข้อยุติโดยเร็ว
แต่ถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีประเทศใดที่เจรจาได้ข้อยุติ ประเด็นนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่จะฉุดการส่งออกของไทยให้ชะลอตัว หากไทยโดนปรับขึ้นภาษีตามอัตราที่สหรัฐประกาศไว้คือ 36 % เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย จากตัวเลขล่าสุด ไทยส่งออกไปสหรัฐ 5 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 27.2 %
นอกเหนือจากมาตรการภาษีทรัมป์แล้ว แรงกดดันการส่งออกของไทยที่ต้องจับตามมอง คือ การผลิตภาคอุตสาหกรรมของโลกและประเทศ คู่ค้าสำคัญสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง ความผันผวนและการแข็งค่าของเงินบาทที่ กระทบความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสินค้าส่งออกของไทย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกไทยในช่วงต่อจากนี้







