'สศค.' จับตาปัจจัยกดดันเศรษฐกิจ คาดเม็ดเงิน 1.15 แสนล้าน ช่วยพยุงครึ่งปีหลัง

"สศค." จับตาปัจจัยกดดันเศรษฐกิจ ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมเตรียมมาตรการรับความไม่แน่นอน ด้วยกลไกหลายด้านทั้งงบกลาง แบงก์รัฐ และหน่วยงานอื่นๆ คาดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้าน ส่งผลต่อจีดีพี 0.4-0.5% ช่วงพยุงเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า สศค. มีการจับตาและติดตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องสงคราม ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนการเมือง ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
รวมทั้ง สศค. มีการดำเนินการและเตรียมความพร้อมมาตรการที่เหมาะสมรองรับ หากมีการประเมินแล้วพบว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยใช้กลกไกของงบประมาณกลางที่เหลืออยู่บางส่วน สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นๆ ที่จำเป็น
“สถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆนั้น ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด สศค. ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทางกระทรวงการคลัง ไม่ว่าจะเป็น ปลัดกระทรวงการคลัง หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้สั่งการให้ สศค.เตรียมดูว่าต้องมีมาตรการอะไรรองรับในส่วนที่อาจมีการประเมินแล้วพบว่ามีผลกระทบเพิ่มเติม ซึ่งสศค.กำลังดำเนินการอยู่” นายพรชัย กล่าว
ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีการพิจารณา โดยคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเห็นชอบข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งแต่ละโครงการจะมุ่งเสริมการจ้างงานและการลงทุน
โดยสศค. และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้มีการประเมินแล้วว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยเติมเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจในภาคการผลิต และการจ้างงานรวมกว่า 6-7 ล้านคน คำนวณเป็นวงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของวงเงินทั้งหมด
"สศค. เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ ซึ่งประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ 0.4-0.5% และจะรองรับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนในทุกๆ ด้านได้"
นายพรชัย กล่าวถึงกรณีสถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีความไม่แน่นอนว่าจะส่งผลต่อการยกร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 หรือไม่ว่า ขณะนี้กระบวนการพิจารณางบฯ 69 อยู่ในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎรในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งก็คาดว่าจะเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย