“พาณิชย์” เร่งกระจายผลไม้ กว่า3,000 ตัน สู่ตลาดในประเทศ

“พาณิชย์” เร่งกระจายผลไม้ กว่า3,000 ตัน สู่ตลาดในประเทศ

พาณิชย์ เดินหน้าประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เร่งระบายผลไม้ภาคตะวันออกกว่า 3,000 ตัน สู่ตลาดในประเทศ รับมือสถานการณ์ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านกรมการค้าภายใน ผนึกกำลังช่วยเกษตรกร แจกกล่อง–ตะกร้าผลไม้ 238,000 ชิ้น ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ ลดต้นทุน-แก้ปัญหาผลไม้ค้างด่าน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า  จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้มีการปิดด่านการค้าบางจุด ทำให้การกระจายผลไม้จากจังหวัดภาคตะวันออกที่ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านชะลอลง โดยเฉพาะจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม และบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี แม้การซื้อขายภายในพื้นที่ยังคงดำเนินได้ตามปกติ แต่เพื่อไม่ให้เกษตรกรได้รับผลกระทบ กระทรวงพาณิชย์จึงได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเร่งผลักดันการระบายผลผลิตภายในประเทศทันที

ขณะนี้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานและภาคเอกชนต่าง ๆ เร่งกระจายผลไม้จากภาคตะวันออก โดยเฉพาะมังคุดและทุเรียน ซึ่งอยู่ในช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว คาดว่าผลผลิตจะหมดภายในสิ้นเดือนมิ.ย.

โดยตั้งเป้าระบายผลไม้ จำนวน 3,000 ตัน ทั้งผ่านห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ในเครือ ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ที่ได้ซื้อมังคุดคัดเกรดขนาดกลางจำนวน 1,000 ตัน เพื่อนำไปจำหน่ายในแม็คโครและโลตัสทั่วประเทศ รวมถึงห้าง GO WHOLESALE ที่เตรียมเข้ามารับซื้อเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือจาก บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ในการร่วมรับซื้อผลไม้ไทยเพื่อนำไปจัดทำเป็นอาหารเพื่อจำหน่ายบนสายการบินของไทยแอร์เอเชีย อีกจำนวน 1,000 ตัน สมาคมธนาคาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงเครือข่ายห้างค้าปลีกท้องถิ่นทั่วประเทศ 

“พาณิชย์” เร่งกระจายผลไม้ กว่า3,000 ตัน สู่ตลาดในประเทศ

นอกจากพันธมิตรที่จะมาช่วยรับซื้อผลไม้แล้ว ยังมีสนับสนุนในเรื่องของการจัดส่ง ได้แก่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการช่วยเหลือค่าจัดส่งสำหรับการซื้อขายผลไม้ผ่านออนไลน์โดยสามารถส่งฟรีที่ไปรษณีย์ไทยได้ทุกสาขา ทั้งนี้ กรมได้ตั้งเป้าปริมาณผลไม้ที่จะกระจายผ่านช่องทางไปรษณีย์อีกถึง 3,000 ตัน

“ขณะนี้เราได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และที่สำคัญคือพี่น้องประชาชนที่ช่วยกันอุดหนุนผลไม้ไทยอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าผลผลิตผลไม้ภาคตะวันออกในช่วงปลายฤดูนี้จะสามารถระบายได้หมด” นายพิชัย กล่าว

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ปีนี้ประเทศไทยมีปริมาณผลผลิตผลไม้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 17% โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น มังคุดและเงาะ ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงปลายฤดูผลผลิต อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การปิดด่านของประเทศเพื่อนบ้าน สร้างความกังวลในการขายผลไม้ในจังหวัดภาคตะวันออกของไทย

รมการค้าภายในจึงได้เร่งประสานความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วนในการช่วยกันกระจายผลผลิตในพื้นที่ออกไปจำหน่ายในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยกรมการค้าภายในจับมือร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ที่มีระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทั่วประเทศ และสามารถกระจายผลผลิตของเกษตรกรได้รวดเร็วและทั่วถึง

ด้วยปัจจุบันการจำหน่ายผลไม้ในช่องทางออนไลน์ หรือการส่งผลไม้เป็นของฝากของขวัญ ต้องใช้บริการการจัดส่งแบบรวดเร็วเพื่อคงความสดใหม่ของผลไม้ ไปสู่ผู้บริโภคในประเทศ และช่วยบรรเทาภาระของเกษตรกรในการนำผลผลิตออกจากแหล่งผลิต รวมถึงประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องผลไม้ตกค้าง

“พาณิชย์” เร่งกระจายผลไม้ กว่า3,000 ตัน สู่ตลาดในประเทศ

ทั้งนี้กรมการค้าภายในได้จัดเตรียม “บรรจุภัณฑ์ผลไม้ DIT” ซึ่งประกอบด้วยกล่องขนาด 10 กิโลกรัม จำนวน 188,000 กล่อง และตะกร้าขนาด 5 กิโลกรัม จำนวน 50,000 ตะกร้า รวมทั้งสิ้น 238,000 ชิ้น เพื่อช่วยลดต้นทุนการจัดส่งให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยจะเริ่มทยอยกระจายไปยังสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ โดยเกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถติดต่อขอรับกล่องและตะกร้าดังกล่าวได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดในพื้นที่

เป้าหมายของโครงการนี้คือกระจายผลไม้สำคัญของประเทศ เช่น ทุเรียน มังคุด ลำไย ลองกอง เงาะ และมะม่วง ให้ได้ไม่น้อยกว่า 3,000 ตัน ทั้งนี้ กรมฯ ขอความร่วมมือให้ใช้บรรจุภัณฑ์เหล่านี้สำหรับบรรจุเฉพาะผลไม้ไทย เพื่อสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือเกษตรกรตามวัตถุประสงค์ของการร่วมมือกันในครั้งนี้

นอกจากนี้ กรมการค้าภายในยังได้วางแผนจัดกิจกรรม “Thai Fruits Festival 2025” ในช่วงเดือนก.ค. เพื่อต้อนรับเทศกาลผลไม้จากภาคใต้ อาทิ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง และผลไม้ประจำภาคอย่าง จำปาดะ สละ รวมถึงผลไม้จากภาคเหนือ ได้แก่ ลำไย ลิ้นจี่ และส้ม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการรับรู้ว่าผลไม้ไทยมีอีกหลายชนิด โดยมุ่งเน้นที่คนเมืองอย่างกรุงเทพและปริมณฑลเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศและสร้างช่องทางการตลาดเพิ่มเติมให้แก่เกษตรกร