ส.อ.ท. หวั่นการเมืองซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย วอนผนึกกำลัง - ใช้สติบริหารประเทศ!

ส.อ.ท. หวั่นการเมืองซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย วอนผนึกกำลัง - ใช้สติบริหารประเทศ!

“ส.อ.ท.” เผยสารพัดปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ชี้ หากต้องเปลี่ยนนายกฯ ขอให้ยึดประชาธิปไตย วอนร่วมมือดันเศรษฐกิจประเทศไม่ให้จมลงไปกว่าเดิม ฝากรัฐบาลรีบเร่งแก้ไขสถานการณ์ อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อ

สถานการณ์เศรษฐกิจไทย ล่าสุดวันนี้กำลังเผชิญกับพายุลูกใหญ่รอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายนอก และภายในประเทศ ล่าสุดภาคเอกชน โดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ออกโรงเตือนถึงความกังวลอย่างยิ่งต่อ “ความไม่นิ่งทางการเมือง” ที่อาจซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจให้ดำดิ่งลงไปกว่าเดิม พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเร่งหาทางออกอย่างมีสติ และยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทุกภาคส่วนรอคอยต้องสะดุด

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” วันนี้ (20 มิ.ย.2568) ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทายหนักหน่วงว่า สิ่งที่ ส.อ.ท. กังวลมาตลอดมี 2 เรื่องหลักคือ ปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ และเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งหากขาดความแน่นอน อาจซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังประสบปัญหาอย่างหนักอยู่แล้ว

สำหรับปัจจัยภายนอก มาจากความผันผวนรอบด้าน ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด และส่งผลกระทบต่อการค้าของไทยอย่างมาก ได้แก่ การเจรจาอัตราภาษี reciprocal tariff กับสหรัฐ ที่ยังไม่รู้ว่าจะได้ลดภาษีลง 10% จากเดิม 36% ได้หรือไม่ และเมื่อไหร่ ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงปัญหาการค้าชายแดน โดยเฉพาะความติดขัดด้านการค้าบริเวณชายแดนกับกัมพูชา

และการกระทบกระทั่งกัน อาทิ ประเด็นแรงงานที่จะมีความเสี่ยงที่แรงงานอาจถูกดึงกลับประเทศต้นทาง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุน และศักยภาพการผลิตของสินค้าไทย เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีสงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ที่เป็นความท้าทายใหม่ที่ ส.อ.ท. ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ผลกระทบโดยตรงต่อไทยอาจจำกัด แต่ผลทางอ้อมอาจกระทบในด้านของราคาน้ำมันที่จะส่งกระทบต่อต้นทุนโลจิสติกส์เกิดต้นทุนการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้นอีก ถือเป็นปัญหาที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เคยกระทบต่อซัพพลายเชนทั่วโลก

นายเกรียงไกร ตอบคำถามด้านเสถียรภาพการเมืองภายในว่า ยอมรับว่าปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศกลับมีปัญหาเพิ่มขึ้น ถืออีกหนึ่งข้อจากสถานการณ์ข่าวที่เกิดขึ้น แม้ตนจะอยู่ต่างประเทศ และยังไม่ได้ฟังคลิปทั้งหมด แต่ได้ติดตามข่าว และได้ฟังไฮไลต์บางช่วงบางตอนที่มีการเผยแพร่ออกมาแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า เสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศถูกซ้ำเติมเข้าไปได้

อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท. หวังว่าสถานการณ์ทั้งภายนอก และภายในจะไม่เป็นเช่นนี้ต่อไป เพราะภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญความยากลำบากอยู่แล้ว ส่วนประเด็นการเปลี่ยนแปลงตัวนายกรัฐมนตรี หรือการปรับคณะรัฐมนตรีใดๆ นั้น ควรเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย หากเสียงไม่เพียงพอ หรือคนไม่สนับสนุนเพียงพอ ก็ต้องเปลี่ยนไปตามหลักการไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

นายเกรียงไกร กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองเป็นแบบนี้ก็อย่าให้มีการซ้ำเติมโดยการฉวยโอกาส หรือใช้วิธีการนอกระบบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ เพราะนั่นอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม และอาจทำให้ต่างประเทศมองไทยในแง่ลบได้ สิ่งสำคัญคือ จะต้องรีบเร่งแก้ไขสถานการณ์โดยไว อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อ เพราะความยืดเยื้อจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่อาจสร้างความเสี่ยงทางการเมืองเพิ่มเติม เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

นอกจากนี้ ในส่วนของงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1 แสนล้านบาท ที่อาจจะต้องสะดุด นายเกรียงไกร ยอมรับว่า หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงเวลานี้ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการสร้างงานซึ่งปัจจุบันทุกภาคส่วนยังคงรองบประมาณ เนื่องจากประชาชน และเศรษฐกิจยังคงต้องการ การกระตุ้น

“ตอนนี้เม็ดเงินต่างๆ ที่รัฐบาลจะต้องนำมาอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ การสร้างงาน หากเกิดการหยุดชะงักไปเหมือนในอดีตที่เคยเกิดทำให้งบประมาณกว่าจะใช้ได้ก็ล่าช้าไป 8-9 เดือน ผมคิดว่าเศรษฐกิจตอนนี้ของประเทศไทย ไม่สามารถทนกับภาวะอย่างนั้นได้ ดังนั้น หากเกิดความวุ่นวายจนทำให้งบประมาณไม่สามารถออกมาได้ตามเวลา จะยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์ของประชาชนทั้งประเทศ และเศรษฐกิจโดยย่ำแย่ลงไปอีก เพราะเศรษฐกิจ ณ วันนี้ กำลังซื้อ และปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้นรุนแรง และลึกลงไปมากกว่าในอดีตมาก”

ทั้งนี้ ส.อ.ท. จึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมีสติ และร่วมกันดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติและเศรษฐกิจในภาพรวม ถึงเวลาที่พวกเราทุกคนจะต้องช่วยกันดู ไม่ใช่เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น ไม่ว่าระบบการเมืองจะเป็นอย่างไร ขอให้ดำเนินการตามครรลองที่ควรจะเป็น และหลีกเลี่ยงการฉวยโอกาสหรือวิธีการนอกระบบที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์