พิษสงคราม 'ตะวันออกกลาง' กองทุนน้ำมันฯ ลดเก็บเงินวันละ 250 ล้าน ตรึงราคา!

วิกฤติสงครามตะวันออกกลาง เบรกการจัดเก็บรายได้เข้ากองทุนน้ำมันฯ เพียง 1 สัปดาห์ ลดจัดเก็บเงินเพื่อพยุงราคาน้ำมันแล้ว 250 ล้านบาท
KEY
POINTS
- ความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. 68 ราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้นต่อเนื่อง กบน. เข้ามาพยุงราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเพื่อบรรเทาผลค่าครองชีพประชาชน
- กบน. ปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ 3 ครั้งใน 1 สัปดาห์ แบ่งเป็น ครั้งแรกราว 70 สตางค์/ลิตร ครั้งที่ 2 ที่ 50 สตางค์/ลิตร และครั้งที่ 3 ที่ 70 สตางค์/ลิตร และครั้งที่ 4 ที่ 65 สตางค์/ลิตร รวม 2.55 สตางค์/ลิตร รวมเฉลี่ยวันละ 250 ล้านบาท
- ฐานะกองทุน ณ วันที่ 15 มิ.ย. 68 ติดลบ 36,268 ล้านบาท (บัญชีน้ำมันบวก 8,244 ล้านบาท แต่บัญชี LPG ติดลบ 44,512 ล้านบาท) ฟื้นตัวขึ้นมากจากช่วงที่เคยติดลบกว่า 1.3 แสนล้านบาทในปี 2565
จากเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบได้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 72.50 ดอลลาร์/บาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 85.44 ดอลลาร์/บาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 88.02 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศ และค่าครองชีพของประชาชนโดยตรง ตามบทบาทของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาพลังงานของประเทศเมื่อเกิดวิกฤตด้านราคาพลังงาน ภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2568 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ต้องเข้ามาดูแลราคาน้ำมันในประเทศอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง โดยมีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล 70 สตางค์/ลิตร โดยใช้กลไกอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพ และพยุงราคาน้ำมันในประเทศ ไม่ให้กระทบกับความต่อเนื่องในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ในระยะยาว
โดยสำหรับการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันทุกชนิด (รวมถึงน้ำมันเตา) ลดลงประมาณวันละ 74.41 ล้านบาท จากเดิมที่มีรายรับประมาณวันละ 241.64 ล้านบาท เหลือประมาณวันละ 167.23 ล้านบาท
จากการตอบโต้ของอิหร่านทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงผันผวนอย่าต่อเนื่อง กบน.ได้มีมติครั้งที่ 2 วันที่ 17 มิ.ย. 2568 ปรับลดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลลงอีก 50 สตางค์/ลิตร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย. 2568 เป็นต้นไป เพื่อช่วยตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศไม่ให้ปรับขึ้น และลดผลกระทบต่อประชาชนและภาคขนส่ง จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นและผันผวน
ซึ่งจากข้อมูล ณ วันดังกล่าว ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นมาอยู่ที่ 72.89 ดอลลาร์/บาร์เรล (จากเดิม 72.50 ดอลลาร์) ราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นชัดเจนที่ 90.28 ดอลลาร์/บาร์เรล (จากเดิม 88.02 ดอลลาร์) ขณะที่น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 85.14 ดอลลาร์/บาร์เรล (ลดลงจากเดิม 85.44 ดอลลาร์) สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ความตึงเครียดและความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่านที่ยังคงยืดเยื้อ และสร้างความผันผวนในตลาดพลังงานของโลก
ส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันดีเซล ลดลงประมาณวันละ 31.07 ล้านบาท จากเดิมที่มีรายรับประมาณวันละ 94.04 ล้านบาท เหลือประมาณวันละ 62.97 ล้านบาท ขณะที่รายรับจากกลุ่มน้ำมันเบนซินยังคงเท่าเดิม และอยู่ที่ประมาณวันละ 72.88 ล้านบาทเท่าเดิม
ล่าสุด การประชุม กบน. วันที่ 19 มิ.ย. 2568 นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมกบน.มีมติปรับลดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงครั้งที่ 3 สำหรับน้ำมันดีเซลลงอีก 70 สตางค์/ลิตร เพื่อช่วยพยุงราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการไม่ให้ปรับขึ้นราคา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย. 2568 เป็นต้นไป
สำหรับมติดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากความไม่สงบในตะวันออกกลาง ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบ ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 75.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 93.98 ดอลลาร์/บาร์เรล และน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 87.49 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้นตาม
"การลดอัตราเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบสัปดาห์ ส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันดีเซล ลดลงประมาณวันละ 43.50 ล้านบาท จากเดิมที่มีรายรับประมาณวันละ 62.97 ล้านบาท เหลือรายรับประมาณวันละ 19.47 ล้านบาท ขณะที่รายรับจากกลุ่มน้ำมันเบนซินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และอยู่ที่ประมาณวันละ 72.88 ล้านบาทเท่าเดิม"
ล่าสุด วานนี้ (20 มิ.ย. 2568) ที่ประชุมประชุมกบน. มีมติปรับลดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลงอีก 65 สตางค์/ลิตร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย. 2568 เป็นต้นไป โดยราคาน้ำมันในตลาดโลกล่าสุดจากฝความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดน้ำมันดิบดูไบ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 76.90 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล ปรับสูงขึ้นอีกครั้ง อยู่ที่ 97.51 ดอลลาร์/บาร์เรล และราคาน้ำมันเบนซิน อยู่ที่ 88.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 4 ในรอบสัปดาห์ ที่ กบน.มีมติปรับลดอัตราเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้กับประชาชน ตั้งแต่วันที่ 16–17 มิ.ย.2568 และ 19 -20 มิ.ย.2568 โดยใช้เงินช่วยพยุงราคาน้ำมันดีเซล เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้ปรับขึ้น ซึ่งจากมาตรการล่าสุด ส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันดีเซล ปัจจุบันกลับมาติดลบ อยู่ที่วันละ 20.73 ล้านบาท ขณะที่รายรับจากกลุ่มน้ำมันเบนซิน ยังคงอยู่ที่ประมาณวันละ 72.88 ล้านบาทเท่าเดิม
สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 มิ.ย. 2568 ติดลบอยู่ที่ 36,268 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันบวกอยู่ที่ 8,244 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบอยู่ที่ 44,512 ล้านบาท จากเดิมที่เคยติดลบทะลุ 1.3 แสนล้านบาท เมื่อช่วงปี 2565 จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อ รวมถึงปัญหาโควิด-19 ทั่วโลก ทำให้ดีมานด์ซัพพลายไม่สมดุล ส่งผลให้ราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวนหนัก
และเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทำให้กองทุนน้ำมันฯ เริ่มเก็บเงินเข้ากองทุนฯ และพยุงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้สูงมากจนเกินไป พร้อมกับกู้เงินเข้ามาเสริมสภาพคล่องรวมทั้งหมด 105,333 ล้านบาท โดยปัจจุบันเหลือหนี้เงินกู้ที่ 54,860 ล้านบาท ซึ่งจากทิศทางเหมือนจะเริ่มดีขึ้น สามารถเก็บเงินเข้าบัญชีได้ แต่เมื่อเกิดสงครามตะวันออกกลาง ทำให้ต้องลดการจัดเก็บเงินเข้าบัญชีถึง 4 ครั้งใน 1 สัปดาห์รวม 2.55 บาท เฉลี่ยครั้งละประมาณ 60-70 ล้านบาท จึงเป็นเงินที่ลดจัดเก็บเข้ากองทุนต้องหายไปวันละประมาณ 250 ล้านบาท







