‘เอกชน’ ชี้ ทางออกแก้ "ปมการเมือง" ยึดแนวทางประชาธิปไตย

‘เอกชน’ ชี้ ทางออกแก้ "ปมการเมือง" ยึดแนวทางประชาธิปไตย

“เอกชน” หวั่นไทยเจอปัจจัยเสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจรอบด้าน หากเปลี่ยนนายกฯ เปลี่ยนรัฐบาล ขอให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย หวั่นงบกระตุ้นเศรษฐกิจค้างท่อ งบปี 69 สะดุด การเจรจาการค้าสหรัฐไม่ทันเส้นตาย 8 ก.ค.68 นี้

KEY

POINTS

Key Point

  • “เอกชน” ชี้ ปมการเมืองทำไทยเจอปัจจัยเสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจรอบด้าน
  • ส.อ.ท.  ชี้ การเปลี่ยนแปลงตัวนายกรัฐมนตรีหรือการปรับ ครม.ควรเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
  • ซีไอเอ็มบีไทย  มองปัจจัยการเมืองกระทบมากต่อเศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้า 3 ด้าน
  • เกียรตินาคินภัทร  หวั่นยุบสภา ทำงบประมาณปี 69 ชะงักทำให้จีดีพีหายไปถึง 1%

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับพายุลูกใหญ่รอบด้านทั้งปัจจัยภายนอก และภายในประเทศ ล่าสุดกำลังเผชิญปัญหาเสถียรภาพการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ไทยอยู่ภาวะค่อนข้างมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะก่อนหน้านี้ไทยอยู่กลางพายุเศรษฐกิจจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สหรัฐขึ้นภาษีตอบโต้การค้า และการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ขณะที่การท่องเที่ยวไทยเจอปัญหานักท่องเที่ยวจีนหายไป นอกจากนี้งบประมาณของภาครัฐไม่เพียงพอ และตลาดทุนยังไม่ดี

นายพจน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ทั้งการใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ การผลักดันการส่งออก และการเจรจาการค้ากับสหรัฐถ้าการเมืองไม่ชัดเจน โดยต้องตัดสินใจให้จบเร็ว และเป็นทางเลือกที่ทุกภาคส่วนยอมรับ และมองผลกระทบแต่ละกรณี ดังนี้

1.กรณีนายกรัฐมนตรีลาออกจะทำให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พ้นไปทั้งคณะ และการบริหารราชการแผ่นดินชะงัก รวมถึงการเจรจาภาษีกับสหรัฐที่อยู่ช่วงเวลาสำคัญ ซึ่งการตั้ง ครม.ใหม่ต้องใช้เวลา และอาจทำให้ไทยจบการเจรจาไม่ทันเส้นตายวันที่ 8 ก.ค.2568 ซึ่งจะทำให้การส่งออกไทยมีปัญหา

2.กรณีการยุบสภาอย่างน้อยยังมีรักษาการ นายกรัฐมนตรี และ ครม.ทำให้รัฐบาลรักษาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อเนื่องได้ 2-3 เดือน

“ปัญหาสำคัญสุด คือ ภาคเอกชนไม่รู้ทิศทางการเมือง การบริหารประเทศว่าจะไปในทิศทางใด ดังนั้นภาคการเมืองต้องรีบจัดการปัญหาให้จบเร็วที่สุด เพื่อให้มีความชัดเจนว่าการเมืองไทยหลังจากนี้จะออกมารูปแบบไหน ซึ่งต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายในไทย และสังคมโลกเพื่อให้รัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อได้”

 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศมีเพิ่มขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้เศรษฐกิจถูกซ้ำเติม โดยหวังว่าสถานการณ์ทั้งภายนอก และภายในจะไม่เป็นเช่นนี้ต่อ เพราะภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญความยากลำบาก

ส่วนประเด็นการเปลี่ยนแปลงตัวนายกรัฐมนตรีหรือการปรับ ครม.ควรเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย หากเสียงไม่เพียงพอ หรือคนไม่สนับสนุนเพียงพอ ก็ต้องเปลี่ยนไปตามหลักการไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“สถานการณ์การเมืองแบบนี้อย่าให้ซ้ำเติมโดยการฉวยโอกาส หรือใช้วิธีการนอกระบบมาแก้ไขสถานการณ์ เพราะอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง และอาจทำให้ต่างประเทศมองไทยแง่ลบ สิ่งสำคัญคือ ต้องเร่งแก้สถานการณ์อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อ เพราะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่อาจสร้างความเสี่ยงทางการเมืองเพิ่มเหมือนในอดีต”

หวั่นการเมืองไร้เสถียรภาพ

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ผลกระทบจากปัจจัยการเมืองกระทบมากต่อเศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้า 3 ด้าน คือ

1.ความเชื่อมั่น หากนักลงทุนมองเสถียรภาพรัฐบาลเริ่มสั่นคลอนอาจเริ่มชะลอการตัดสินใจโดยเฉพาะการลงทุนใหม่ขนาดใหญ่หรือการซื้อสินค้าขนาดใหญ่ เช่น อสังหาริมทรัพย์รถยนต์

2.การตัดสินใจกู้สินเชื่อลดลงภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง และเข้าภาวะ Wait and See ที่ไทยอาจเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมาก ซึ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาจชะลอด้วย รวมทั้งกังวลกรณีสถานการณ์ยืดเยื้ออาจกระทบงบประมาณปี 2569 ทำให้อนุมัติล่าช้า และการเบิกจ่ายช้าเหมือนในอดีต ซึ่งอาจส่งผลต่อโครงการลงทุนชะงักได้

3.การเมืองที่ไร้เสถียรภาพหรือสุญญากาศอาจกระทบการเจรจาการค้ากับสหรัฐที่จะมีเส้นตายวันที่ 8 ก.ค.2568 ดังนั้นหากไทยไม่ชัดเจนอาจทำให้การเจรจาถูกเลื่อน และทำให้ไทยจ่ายภาษีแพงกว่าประเทศคู่แข่ง

กระทบเศรษฐกิจปี 68 ดิ่ง

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองคาดการณ์ยากว่าจะยุบสภา นายกรัฐมนตรีลาออก หรือเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยแต่ทุกแนวทางมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้น่าห่วงหากนำไปสู่การยุบสภาอาจทำให้การพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ซึ่งจะซ้ำรอยปัญหาที่เราเจอเมื่อปี 2567 ที่เศรษฐกิจไทยเผชิญ ที่กระทบทำให้จีดีพีไทยหายไปถึง 1% จากการไม่สามารถขับเคลื่อนโครงการเศรษฐกิจต่างๆ ได้

“ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาก คือ การยุบสภาที่อาจนำไปสู่การพิจารณางบปี 2569 อาจทำให้เผชิญเหตุการณ์การเบิกจ่ายล่าช้าที่ทำให้จีดีพีหายไปถึง 1% หากคาดจีดีพี 1.7% ผลกระทบจากงบล่าช้าอาจทำให้จีดีพีโตเพียง 1.5%และนำไปสู่สุญญากาศการเจรจาการค้า”

ห่วงรัฐบาลเสียงข้างน้อย

นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การเมืองที่ไม่ชัดเจนยิ่งซ้ำเติมความเปราะบางของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้แม้จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีเสียงเกินครึ่งได้ แต่หากไม่มีเอกภาพหรือแนวทางบริหารที่ชัดเจน ก็จะยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และประชาชนลดลง เพราะความอ่อนไหวของสถานการณ์อาจถูกแปรเป็นความเสี่ยงที่ยากจะควบคุม

“รัฐบาลที่มีเสียงไม่มาก หากขาดเสถียรภาพทางการเมือง และไม่มีมาตรการเศรษฐกิจชัดเจนจะยิ่งเพิ่มความไม่มั่นใจในสายตานักลงทุน”

ท่องเที่ยวชี้ “ยุบสภา” ปลายทางดีที่สุด

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวว่า จากสถานการณ์การเมืองในประเทศ และความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา กระทบการท่องเที่ยว ซึ่งขึ้นกับนายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจแบบใด

“หากเกิดสุญญากาศการเมืองขอแค่ผ่านไปได้เร็ว และปรับทิศทางได้ น่าจะเป็นเรื่องดีต่อประเทศ แต่ถ้านายกฯ จะยืดเวลาอยู่ต่อไม่ยุบสภา มองว่ายังไม่เห็นประโยชน์ต่อทั้งฝั่งประชาชน และภาคธุรกิจ เพราะทุกคนกังวลมากที่สุดคือ ไม่อยากให้มีรัฐประหาร ความกังวลนี้ตัดจบได้ด้วยการยุบสภา โดยผู้ประกอบการท่องเที่ยวไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ประชาชนต้องลงถนนจะกระทบต่อท่องเที่ยวโดยตรง”

ฉุดเชื่อมั่นดึงธุรกิจทรุดหนัก

นายสมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย กล่าวว่า อยากเสนอให้รัฐบาลหาแนวทางแก้ไขด้วยการยุบสภา เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีสิทธิเลือกตั้งรอบใหม่ และมีพรรคการเมืองใหม่เข้ามาฟื้นความเชื่อมั่นของประเทศไทยอีกครั้ง

ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ภาพรวมเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของคนไทยปรับลดลงอย่างมากจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตไปแล้วรวม 2 แสนล้านบาท ยังไม่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจตามที่คาดไว้ และเมื่อประเมินภาพรวมร้านค้าโชห่วยขนาดเล็กทั่วประเทศ บางส่วนยอดขายลดลง 40-50% สะท้อนว่ากำลังซื้อของตลาดต่างจังหวัดซบเซาอย่างมาก

ประเทศอึมครึมทุบ ศก.ครึ่งปีหลังดิ่ง

นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกรายใหญ่ใน จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างอึมครึม และหยุดนิ่ง เพื่อประเมินว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป โดยภาคเอกชนเสนอให้มีการเลือกตั้งใหม่ และเริ่มต้นจัดระเบียบของประเทศครั้งใหม่ จากนโยบายใหม่ เรียกความเชื่อมั่นประชาชนกลับคืนมา

“แต่หากรัฐบาลไม่ลาออก เชื่อว่าจะส่งผลต่อเนื่องทางจิตวิทยา มีผลต่อการใช้จ่ายของประชาชนที่ชะลอตัวจากความไม่แน่นอน ทำให้ธุรกิจต่างๆ ได้ผลกระทบอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์