'แผนพลังงานชาติ' สะดุด ฉุดลงทุน สะเทือนเป้า Net Zero ไทย

"แผนพลังงานชาติ" ฉบับแก้ไขสะดุด! หากยึดแผนเดิมไทยใช้พลังงานสะอาดแค่ 15% ช้ากว่าเพื่อนบ้าน ฉุดเป้า Net Zero จี้รัฐบาลเร่งปรับแผนพลังงานชาติ
ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด เมื่อสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนยังรั้งท้ายเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามเกือบ 3 เท่า ส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการดึงดูดการลงทุน และอาจฉุดรั้งเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากการที่ น.ส. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุถึง สถานการณ์ที่น่ากังวลว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพียง 15% ในปี 2023 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และห่างไกลจากเวียดนามที่ก้าวหน้าไปถึง 38% แม้ไทยจะมีเป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี 2050 และ Net Zero GHG Emission ในปี 2065 ซึ่งล่าช้ากว่ามาเลเซีย เวียดนาม ที่ตั้งเป้า Net Zero ในปี 2050 และอินโดนีเซียในปี 2060
และเป็นจุดอ่อนสำคัญในการแข่งขัน และบั่นทอนความสามารถในการดึงดูดการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะจากธุรกิจขนาดใหญ่ที่เน้นการใช้พลังงานสะอาดและมีเสถียรภาพสูงอย่าง Data Center ซึ่งปัจจุบันความต้องการไฟฟ้าสะอาดได้กลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการผลิตพลังงานสะอาดรูปแบบไฮบริด เช่น การผสมผสานพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อตอบโจทย์การใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมีแนวโน้มต้นทุนถูกลงและมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ แม้ไทยจะเดินหน้าส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างจริงจังผ่านนโยบาย 30@30 และมาตรการ EV 3.5 แต่การเพิ่มขึ้นของ EV อย่างรวดเร็วอาจนำมาซึ่งความท้าทายต่อเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้า หากไฟฟ้าที่ใช้ในการชาร์จยังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก ก็อาจลดทอนประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ EV ลงได้
ทั้งนี้ ตามแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี 2564-2573 (NDC Action Plan on Mitigation 2021-2030) ซึ่งเป็นแผนระยะสั้น มีเป้าหมายหลักคือการสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุ Carbon Neutrality และ Net Zero GHG Emission โดยมุ่งเน้น 5 สาขาหลัก ซึ่งเน้นภาคพลังงานกับขนส่ง โดย
สาขาพลังงาน: มีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 124.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยจะเน้นการส่งเสริมผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหลากหลายรูปแบบ เช่น ลม แสงอาทิตย์ น้ำ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ ขยะ รวมถึงการพัฒนาเชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซล คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซฯ ได้ 90.20 ล้านตันฯ ขณะที่เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) จากโครงการนำร่อง คาดว่าจะลดได้อีก 1 ล้านตันฯ
สาขาคมนาคมขนส่ง: ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 45.61 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยจะเน้นการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซฯ ได้ 28.29 ล้านตันฯ
ดังนั้น จากการที่กระทรวงพลังงาน จัดทำแผนพลังงานชาติ ฉบับแก้ไขล่าช้าเกิดจากความไม่ชัดเจนในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024) ที่อยู่ระหว่างการจัดทำและมีการทบทวนบ่อยครั้ง ส่งผลให้แผนการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดเป็น 51% ภายในปี 2037 และ 74% ภายในปี 2050 ยังคงคลุมเครือ ซึ่งแตกต่างจากเวียดนามที่มีเป้าหมายและกำลังการผลิตจากพลังงานลมที่ชัดเจนกว่ามาก
ปัจจุบันการวางแผนพลังงานของไทยยังแยกกันตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกัน รัฐบาลควรจัดตั้ง "ระบบบูรณาการหรือกลไกกลาง" เพื่อเชื่อมโยง 5 แผนหลักที่ต้องผนวกในแผนพลังงานให้มีเป้าหมายร่วมกันและตอบสนองต่อบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลง อีกทั้ง ควรเปิดกว้างให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่การร่วมออกแบบนโยบาย การประเมินผลกระทบ ไปจนถึงการเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
แหล่งข่าว กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าแผนพลังงานชาติ ฉบับใหม่ล่าช้า หลักๆ ติดที่แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ที่ตอนนี้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรรีว่าการกระทรวงพลังงาน นำกลับไปรีวิวใหม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้จากเดิมที่เลื่อนมา 3 ปี แล้วก็ยังจะต้องเลื่อนออกไปอีก ซึ่งยอมรับว่าไม่ทันประกาศใช้ปีนี้อย่างแน่นอน
"เป็นที่ทราบกันดีว่า การทำงานในส่วนราชการกับรัฐบาลที่ยังมีการเมืองมาบริหาร จะยังคงมีข้อขัดแย้ง และผลประโยชน์ทับซ้อนกันอยู่ ดังนั้น ในเรื่องนี้ จึงยากที่จะคาดเดาว่าคนที่ทำแผนทั้ง สำนักงานนโยบายแผนพลังงาน (สนพ.) จะจัดทำแผนออกมาอย่างไรให้ตรงกับที่รมต.พลังงาน ขอรีวิวใหม่ ดังนั้น หากล่าช้าไม่ทันต่อความต้องการหรือไม่ ส่วนตัวยังมองว่า ณ เวลานี้ยังทัน และยังมีเวลา" แหล่งข่าว กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่รมต.พลังงาน ติดใจน่าจะเป็นเรื่องของการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ที่จะเน้นให้รัฐวิสาหกิจ อย่าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ลงทุนเองมากกว่าการทำสัญญาซื้อขายจากเอกชน ดังนั้น การยื้อแผน PDP จะต้องดูในเรื่องของการลงทุนใหม่ รวมถึงการต่ออายุสัญญาอื่นๆ ด้วยเช่นกันว่าจะขัดกับข้อกฏหมายหรือไม่ อย่างไร ตรงนี้จึงต้องติดตาม
อนาคตพลังงานสะอาดของไทยมีทั้งโอกาสและความท้าทาย การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่ทางรอดด้านสิ่งแวดล้อม แต่คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ในอนาคต ความชัดเจนของเป้าหมาย นโยบายที่สอดคล้องกัน และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะเป็นปัจจัยกำหนดว่าไทยจะคว้าโอกาสนี้ไว้ได้หรือไม่







