การเมืองสะดุด - ขาดเสถียรภาพ สะเทือน 5 โจทย์ - นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาล

การเมืองสะดุด - ขาดเสถียรภาพ สะเทือน 5 โจทย์ - นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาล

การเมืองกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก หากเมื่อใดที่การเมืองไม่นิ่ง รัฐบาลขาดเสถียรภาพ สถานการณ์ปัจจุบันจะกระทบกับ 5 นโยบายเศรษฐกิจ

KEY

POINTS

  • เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน เป็นประเด็นฉุดความเชื่อมั่นเศรษฐกิจทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน
  • มีอย่างน้อย 5 นโยบายเศรษฐกิจสำคัญของรัฐบาลที่อาจสะดุดลงหากมีการยุบสภาฯหรือการเปลี่ยนตัวนายกฯ
  • การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ,งบกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 วงเงิน 1.57 แสนล้าน,งบประมาณปี 2569 ,นโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ,รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
  • หากเกิดการยุบสภา เปลี่ยนนายกฯ หรือเปลี่ยนพรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาล อาจทำให้นโยบายต่างๆสะดุดกระทบกับเศรษฐกิจที่อ่อนแอในครึ่งปีหลัง

การเมืองกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก หากเมื่อใดที่การเมืองไม่นิ่ง รัฐบาลขาดเสถียรภาพ ย่อมส่งผลต่อ “ความเชื่อมั่น” การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะชะงักงัน นักลงทุนก็จะชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอความแน่นอน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันย่อมสะท้อนภาวะดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ในช่วง 1 – 2 เดือนที่ผ่านมาที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองตั้งแต่เรื่องการปรับ ครม.จนกระทั่งมีการปรับพรรคภูมิใจไทยออกจาก ครม.รวมถึงปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชา จนนำมาสู่เสถียรภาพของรัฐบาล ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทั้งการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยต้องการแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอย่างมาก และเป็นช่วงจังหวะที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนนโยบาย และประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญที่หากการเมืองยังคงสั่นคลอนอยู่แบบในปัจจุบันจะกระทบอย่างน้อยใน 5 ประเด็น และนโยบาย ที่สำคัญดังนี้

1.การเจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ ถือเป็นประเด็นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ถือเป็นเดิมพันสำคัญที่รัฐบาลอยู่ระหว่างที่รัฐบาลอยู่ระหว่างการเจรจากับสหรัฐเพื่อขอให้ปรับลดภาษีศุลกากร (reciprocal tariffs) จาก 36% มาอยู่ในระดับที่สหรัฐเรียกเก็บในระดับพื้นที่ฐานกับประเทศต่างๆที่ 10%

ทั้งนี้การเจรจาการค้าของรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐแม้จะเริ่มต้นขึ้นแล้วในระดับเทคนิค และอยู่ระหว่างการนัดเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างหัวหน้าทีมไทยแลนด์นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กับหน่วยงานเศรษฐกิจของสหรัฐ ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งประธานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ซึ่งแน่นอนว่าในการเจรจาหากรัฐบาลยังคงเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศย่อมเป็นผลดีกว่าเป็นรัฐบาลรักษาการ เพราะหากเป็นรัฐบาลรักษาการ การเจรจาในเรื่องนี้สหรัฐคงให้น้ำหนักในการเจรจากับประเทศไทยลดลงไป   

2. การอนุมัติและเบิกจ่ายงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ถือเป็นวงเงินที่สำคัญที่รัฐบาลจะนำมาช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวจากเครื่องยนต์การส่งออก และการท่องเที่ยวที่แผ่วลง โดยล่าสุดนายพิชัย   ชุณหชิร  รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่าการประชุมคณะกรรมนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติวงเงินงบประมาณในส่วนแรก 115,375 ล้านบาท เพื่อนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ โดยในส่วนของงบประมาณที่เหลืออีกกว่า 4 หมื่นล้านบาทจะมีการเสนอเข้าสู่บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจและเข้า ครม.ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามความสำคัญของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนนี้คือการตัดตามทำสัญญา และเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายในช่วงเวลาที่จำกัดที่ต้องมีการผูกพันในสัญญา และจัดซื้อจัดจ้างให้เสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย.2568 เพื่อให้สามารถทยอยเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการต่างๆได้ภายใน 1 ปี ซึ่งถือเป็นอีกส่วนสำคัญที่เป็นภารกิจที่สำคัญของรัฐบาลต้องเดินหน้าต่อไป  

3.การจัดทำงบประมาณ 2569 การจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงินงบประมาณ 3,780,600 ล้านบาทได้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2568 และผ่านความเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในขั้นตอนของการจัดทำงบประมาณอยู่ในชั้นกรรมาธิการงบประมาณแปรญัตติ โดยส่วนที่มีความสำคัญของงบประมาณปีหน้าคือการเตรียมความพร้อมในการจัดทำงบประมาณเพื่อรองรับผลกระทบจากนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยได้มีการตัด ปรับ ลด งบประมาณที่ไม่จำเป็นเพื่อมาไว้ในส่วนงบกลางฯรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 ที่ตามวงเงินงบประมาณเดิมนั้นมีอยู่เพียง 2.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

ทั้งนี้หากที่มีการยุบสภาฯ หรือการลาออกของนายกรัฐมนตรี จนนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ และการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ย่อมกระทบกับการจัดทำงบประมาณในส่วนนี้ด้วย

4.นโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ถือเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยล่าสุดร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร นั้นจ่อที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรที่จะเปิดสมัยประชุมในเดือน ก.ค.นี้ โดยเป้าหมายของรัฐบาลคือต้องการ ผ่านร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ และเริ่มมีการเชิญชวนเอกชนรายใหญ่เข้ามาลงทุนในปีหน้า หากมีการปรับเปลี่ยนทางการเมืองถึงขั้นยุบสภา หรือเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี ที่มาจากพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ย่อมกระทบกับความพยายามในการขับเคลื่อนกฎหมายนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากหลายพรรคการเมืองมีจุดยืนที่ไม่สนับสนุนนโยบายนี้

และ 5.นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นนโยบายที่มีการขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล โดยล่าสุดกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในชั้นรับหลักการ ซึ่งเป็นร่างที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งเปิดทางให้มีการนำกำไรสะสมของ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่มีอยู่ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาทมาใช้ในโครงการนี้ได้

อย่างไรก็ตามกฎหมายฉบับนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ และอภิปรายจากฝ่ายค้านอย่างมาก โดยเฉพาะในประเด็นความเหมาะสมของการใช้เงิน ความยั่งยืนและความเหมาะสมของโครงการ 

 ทั้งนี้กฎหมายฉบับนี้ยังต้องผ่านขั้นตอนสำคัญในการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 ในสภาฯที่รวมถึงการพิจารณาของวุฒิสภา (สว.) ด้วย ซึ่งในจังหวะการเมืองขณะนี้ถือว่าน่าสนใจว่ากฎหมายฉบับนี้จะสามารถผ่านขั้นตอนต่างๆเพื่อรองรับโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่จะเริ่มคิกออฟในเดือน ก.ย.ปีนี้หรือไม่

ทั้งหมด 5 ข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายและการขับเคลื่อนงานที่สำคัญของรัฐบาลที่มีความเสี่ยงจะสะดุด หรือไปไม่ถึงฝั่งฝันหากรัฐบาลยังขาดเสถียรภาพ และการเมืองในประเทศยังมีความสุ่มเสี่ยงและไม่แน่นอนสูงแบบสถานการณ์ในปัจจุบันนี้