อนุมัติกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก 1.1 แสนล้าน รัฐบาลอัดงบจ้างงาน 7 ล้านคน

อนุมัติกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก 1.1 แสนล้าน รัฐบาลอัดงบจ้างงาน 7 ล้านคน

บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเคาะ 1.1 แสนล้าน ชงครม.สัปดาห์หน้า เน้นโครงการน้ำ คมนาคม 70% ท่องเที่ยว 10% คาดมีผลต่อ GDP 0.4-0.5% กระตุ้นการจ้างงาน 6-7 ล้านคน 

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเร่งอัดฉีดงบ 1.15 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ คาดสร้างงา 6-7 ล้านคน เพิ่ม GDP 0.4%

  • ให้นำหนักโครงการโครงสร้างพื้นฐาน “น้ำ” และ “คมนาคม” 70% “ท่องเที่ยว” 10% และ “ส่งออก”, “ชุมชน”

  • SCB EIC ประเมินเม็ดเงินไม่พอฟื้นเศรษฐกิจ ชี้ยังเผชิญความเปราะบางหลายด้าน

ท่ามกลางผลกระทบจากสงครามการค้าที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังปี 2568 รัฐบาลได้วางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณกลางปี 2568 วงเงิน 157,000 ล้านบาท โดยให้แต่ละหน่วยงานจัดทำคำของบประมาณเพื่อเร่งอนุมัติและดันงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายในไตรมาส 3 ปี 2568

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2568 เพื่ออนุมัติโครงการล็อตแรกจากงบประมาณดังกล่าว

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจประเทศ โดยกระทรวงการคลังเสนอแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้งบประมาณกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงิน 157,000 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 นับเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแรง

ทั้งนี้แต่ละหน่วยงานทยอยเสนอโครงการเพื่อขอรับงบประมาณต่อสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง และผ่านการกลั่นกรองโครงการอย่างเข้มงวด โดยมีคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ทำหน้าที่พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่ ครม.เห็นชอบ

“การประชุมวันนี้ขอให้คณะกรรมการร่วมกันพิจารณาโครงการร่วมกันอีกครั้ง โดยคำนึงถึงความรอบคอบและการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ เป้าหมายสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าโครงการมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้และปราศจากการทุจริต”

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การขับเคลื่อนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้มุ่งหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่าและผลสำเร็จของโครงการเป็นสำคัญ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คณะกรรมการฯ เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ วงเงิน 110,000 ล้านบาท จากโครงการที่เสนอเข้ามาทั้งหมดกว่า 400,000 ล้านบาท ซึ่งจะเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า เพื่อให้มีการเริ่มดำเนินโครงการและผูกพันงบประมาณภายในวันที่ 30 ก.ย.2568

“โครงการที่ผ่านการอนุมัติในวันนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ เสริมสร้างศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรับมือกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป“

อนุมัติงบกระตุ้นล็อกแรก 1.1 แสนล้าน

นายพิชัย กล่าวว่า การกลั่นกรองโครงการเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยมีการประชุมร่วมกับแต่ละหน่วยงานอย่างละเอียด มีการกำหนดหลักเกณฑ์ 8 ข้อ สำหรับการพิจารณาโครงการงบกลางและกำหนดประเภทโครงการที่ไม่ควรดำเนินการ เพื่อให้เกิดการจ้างงานจากงบประมาณ 157,000 ล้านบาท คณะกรรมการได้กลั่นกรองและเห็นชอบเบื้องต้น 115,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 

1.ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 85,000 ล้านบาท คิดเป็น 73.7% แยกเป็นโครงการน้ำ 39,136 ล้านบาท คิดเป็น 33.9% และโครงการคมนาคม 45,864 ล้านบาท คิดเป็น 39.8% 

2.ด้านการท่องเที่ยว 10,053 ล้านบาท คิดเป็น 8.7% 

3.ด้านการส่งออก/ผลิตภาพ 11,122 ล้านบาท คิดเป็น 9.6% 

4.ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ 9,201 ล้านบาท คิดเป็น 8%

อนุมัติกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก 1.1 แสนล้าน รัฐบาลอัดงบจ้างงาน 7 ล้านคน

นายพิชัย กล่าวว่า โครงการส่วนใหญ่ที่ได้รับอนุมัติ 70% เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาด้านน้ำและคมนาคม เช่น น้ำเพื่อการบริโภค การป้องกันน้ำท่วม (ซ่อมแซม) และการสะสมน้ำเพื่อการเกษตร 

ส่วนโครงการคมนาคมเน้นการปรับปรุงถนนเพื่อเชื่อมโยงเมืองหลักสู่เมืองรองเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงปรับปรุงเพื่อความปลอดภัยและซ่อมแซมถนนที่ชำรุด นอกจากนี้ มีโครงการเกี่ยวกับการท่องเที่ยว 10% และมาตรการอื่น ๆ เช่น มาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือการส่งออก และการศึกษา

สำหรับโครงการที่ผ่านการพิจารณาให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนไปทั่วประเทศ ครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดและทุกอำเภอ โดยมีหลักเกณฑ์ที่คำนึงถึงรายได้ต่อหัวของประชากรในแต่ละจังหวัด จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำจะได้รับการจัดสรรเงินในสัดส่วนที่สูงกว่า ในขณะที่จังหวัดที่มีรายได้สูง เช่น กรุงเทพฯ และระยอง จะได้รับเงินในสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับขนาดรายได้

ตั้งเป้ากระตุ้นจ้างงาน 6-7 ล้านคน

โดยโครงการดังกล่าวมุ่งเน้นให้เกิดการสร้างงานได้ 6-7 ล้านคน เกิดการการกระจายการลงทุนทั่วประเทศ และมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ คาดการณ์ว่าจะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้ประมาณ 0.4%

“ทั้งนี้คาดว่าหากสามารถดำเนินโครงการได้เต็มวงเงิน 150,000 ล้านบาท จะสามารถเพิ่ม GDP ได้ประมาณ 0.5-0.6% แต่หากใช้จ่ายที่ 1.1 แสนล้านบาท จะส่งผลต่อ GDP ประมาณ 0.4-0.5% อย่างไรก็ตาม หลังจากหักผลกระทบจากมาตรการที่เคยดำเนินการไปแล้ว สุทธิแล้วคาดว่า GDP จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.4%“

สำหรับงบประมาณส่วนนี้ต้องดำเนินการให้เสร็จภายในปีงบประมาณ 2567 และจะพิจารณาแผนงานต่อเนื่องสำหรับปีงบประมาณ 2569-2571 เพื่อดึงดูดการลงทุนให้ได้ คาดการณ์ว่าเงินจากโครงการแต่ละโครงการจะเริ่มเข้าสู่ระบบได้ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.และจะมีการผูกพันงบประมาณใน 30 ก.ย.2568

กันงบ 4 หมื่นล้านให้ อปท.-ชุมชน

ส่วนงบประมาณที่เหลืออยู่ราว 40,000 ล้านบาท จะมีการพิจารณาโครงการที่เสนอจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และชุมชน ซึ่งบางส่วนอาจซ้ำซ้อนหรือยังไม่ผ่านหลักเกณฑ์ โดยมีข้อเสนอราว 60,000 ล้านบาท จะถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อดูว่ามีโครงการใดที่ตกหล่นและสมควรที่จะมีการลงทุน 

อย่างไรก็ตาม หากว่าจะไม่ได้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดก็ไม่เป็นไร โดยจะพิจารณาใช้เฉพาะโครงการที่มีความคุ้มค่า ส่วนงบประมาณที่เหลือก็ถือเป็นผลดีต่อรัฐบาลในการลดภาระหนี้

”นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกโครงการเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเคร่งครัดเจ้ากระทรวงต้นสังกัดที่มีหน่วยงานผู้ขอรับงบประมาณต้องกำกับดูแลใกล้ชิด และหากพบความผิดปกติหรือไม่ตรงวัตถุประสงค์ให้รายงานเพื่อพิจารณาไม่ใช้หรือระงับงบประมาณ“

นอกจากนี้ คณะกรรการฯมีมติให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับติดตามและประเมินผล เพื่อตรวจสอบและยืนยันความสำเร็จและดำเนินโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และป้องกันการทุจริต

1.57 แสนล้าน ไม่พอดันเศรษฐกิจผงกหัว

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า แม้ล่าสุดรัฐบาลจะเปลี่ยนจากงบประมาณในส่วน Digital Wallet มาเป็นโครงการรองรับผลกระทบจากสงครามการค้าด้วยเม็ดเงินประมาณ 1.57 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่าไม่เพียงพอ ที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีขึ้น

ส่วนนโยบายการเงินมองว่าอาจเห็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งปีนี้ มาสู่ 1.25% และลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งปีหน้า มาสู่ 1% ในสิ้นปี 2569 ทั้งนี้หากดูอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest rate) หักด้วยเงินเฟ้อในช่วง 1 ปี หรือย้อนหลัง 10-20 ปี พบดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยอยู่เพียง 0% แสดงว่าดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงยังมีช่องว่างให้ลดลงต่อเนื่องเพื่อประคองเศรษฐกิจ

เสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค

ทั้งนี้ SCB EIC คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยล่าสุดน่ากังวลขึ้น โดยคาดปีนี้จีดีพีเติบโตเพียง 1.5% และปีหน้าลดเหลือ 1.4% ซึ่งการเติบโตระดับดังกล่าวค่อนข้างต่ำมากเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยการเติบโตในอดีตของไทยสะท้อนภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอความเปราะบางชัดเจนขึ้น

นอกจากนี้ แม้เศรษฐกิจไทยเติบโตสูงในไตรมาสแรกที่ 3.1% แต่มีความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังเติบโตต่ำกว่า 1% หรือเข้าสู่ technical recession หรือภาวะถดถอยทางเทคนิค ที่เศรษฐกิจไทยติดลบสองไตรมาสติด หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส

กรณีร้ายแรงเศรษฐกิจไทยดิ่งเหลือ 0.8%

สำหรับผลกระทบหลักมาจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทั่วโลก และความผันผวนสูงต่อตลาดการเงินโลก โดยภายใต้ซินาริโอของ EIC มองว่าหากการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐลุล่วง และไทยอาจถูกเก็บภาษีเพียง 10% เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัว 2% แต่กรณี Baseline ที่ภาษีนำเข้าอาจลดลงได้ครี่งหนึ่งที่ประกาศไว้ จีดีพีไทยอาจเติบโตได้เพียง 1.5%ปีนี้

และกรณีร้ายแรงที่สุด Worse การเจรจาสหรัฐล้มเหลว ถูกเก็บภาษีเต็มเพดาน บวกกับความขัดแข้งของตะวันออกกลางลุกลาม คาดกระทบต่อจีดีพีไทยเติบโตเหลือเพียง 0.8% ปีนี้

ทั้งนี้มองว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจาก “การท่องเที่ยวต่างชาติ” ที่ต่ำกว่าคาด โดย 5 เดือนแรกนักท่องเที่ยวหดตัว 3% ส่งผลให้ EIC ลดประมาณการณ์ท่องเที่ยวลงเหลือ 34.2ล้านคน ต่ำกว่าปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน สะท้อนว่าเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทยเริ่มเจอปัญหา

ภาคธุรกิจชะลอลงทุน-ลดภาระหนี้สิน

นอกจากนี้ ภายใต้ความเสี่ยงสูงจากสงครามการค้า ยังส่งผลกระทบชัดเจนต่อการลงทุนในประเทศ โดยพบว่าภาคธุรกิจส่วนใหญ่ทั้งในต่างประเทศและธุรกิจขนาดใหญ่หลายรายในไทยมีแนวโน้มชะลอหรือเลื่อนการลงทุน โดยส่วนใหญ่พยายามลดภาระหนี้สินลงเพื่อใช้กลยุทธ์ wait and see รอดูความชัดเจน เหล่านี้สอดคล้องดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงต่ำสุดรอบ 27 เดือน ดังนั้นคาดว่าภาคการลงทุนเอกชนปีนี้จะหดตัวถึง 2.2%

รวมทั้งเศรษฐกิจไทยยังเจอ “แผลเก่า” จากปัญหาหนี้ และความเปราะบางจากภาคแรงงานที่เป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อเนื่อง โดยปัจจุบันพบจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้ครัวเรือนและธุรกิจต่างระมัดระวังในการใช้จ่าย และไม่อยากก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น 

ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่หนี้ครัวเรือนที่น่าห่วงแต่หนี้ธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีน่าห่วงขึ้น ซึ่งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สำรวจพบแหล่งเงินทุนของเอสเอ็มอีจากหนี้นอกระบบสูงขึ้นมากจาก 13% เป็น 47% สะท้อนภาคการเงินในระบบไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพียงพอ ทำให้ครัวเรือนและธุรกิจหันไปพึ่งหนี้นอกระบบมากขึ้นอาจนำมาสู่ความเปราะบางทางการเงินในอนาคต

จับตาสถานการณ์แรงงานว่างงานพุ่ง

นอกจากนี้ซ้ำร้ายเศรษฐกิจยังเจอสัญญาณน่าห่วงจากอัตราว่างงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แม้ล่าสุดอัตราการว่างงานโดยรวมของไทยยังอยู่ระดับต่ำที่ 0.9% โดยมีผู้ว่างงานไม่ถึง 1 คนจากทุก 100 คน แต่หากดูการว่างงานของกลุ่มแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยพบว่ามีคนตกงาน 2 คนในทุก 100 คน และพบว่าคนรุ่นใหม่ว่างงานเพิ่มที่ 5.31% และยังพบว่า จำนวนผู้ว่างงานที่นานเกิน 6 เดือน ซึ่งกำลังเร่งตัวสูงขึ้น กลุ่มคนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้ว่างงานระยะยาว การหางานใหม่จะยากขึ้นเรื่อย

และหากดูจำนวนผู้มีงานทำโดยรวมของประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ไม่ดี โดยปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้มีงานทำลดลงถึง 2 แสนคน และไตรมาสแรกปีนี้ลดลงอีกกว่า 3 แสน ส่วนใหญ่เกิดจากการหดตัวของการจ้างงานในภาคเอกชน ในขณะที่ภาครัฐยังคงมีการจ้างงานอยู่ ดังนั้นอาจมีสัญญาณความกังวลว่าอาจมีการเลิกจ้าง เกิดขึ้นในอนาคต