บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเคาะงบ 1.15 แสนล้านบาท เสนอ ครม.สัปดาห์หน้า

บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เห็นชอบแผนลงทุน วงเงินรวม 115,000 ล้านบาท เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานน้ำ คมนาคม คาดเพิ่ม GDP 0.4% และกระตุ้นสร้างงานกว่า 6-7 ล้านคน
วันที่ 18 มิ.ย.2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร กล่าวในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2568 ว่า แผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้งบประมาณกลางฯ วงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 ถือเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างแข็งแรง โดยเน้นย้ำถึงความรอบคอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และปราศจากการทุจริต ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวงเงิน 115,000 ล้านบาท จากโครงการที่เสนอเข้ามาทั้งหมดกว่า 400,000 ล้านบาท โดยจะเสนอต่อ ครม. ในการประชุมสัปดาห์หน้า เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการ และผูกพันงบประมาณได้ภายในวันที่ 30 ก.ย.2568
นายพิชัย ระบุว่า โครงการที่ผ่านการอนุมัติมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เสริมสร้างศักยภาพ และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว การกลั่นกรองเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยมีหลักเกณฑ์ 8 ข้อ สำหรับการพิจารณางบกลาง และกำหนดประเภทโครงการที่ไม่ควรดำเนินการ เพื่อให้เกิดการจ้างงานอย่างแท้จริง
สำหรับการจัดสรรงบประมาณ 115,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ดังนี้
1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 85,000 ล้านบาท (73.7%) แบ่งเป็น โครงการน้ำ 39,136 ล้านบาท (33.9%) เน้นน้ำเพื่อการบริโภค ป้องกันน้ำท่วม และสะสมน้ำเพื่อการเกษตร และโครงการคมนาคม 45,864 ล้านบาท (39.8%) เน้นการปรับปรุงถนนเพื่อเชื่อมโยงเมืองหลักสู่เมืองรองเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงปรับปรุงเพื่อความปลอดภัย และซ่อมแซมถนนที่ชำรุด
2. ด้านการท่องเที่ยว 10,053 ล้านบาท (8.7%)
3. ด้านการส่งออก/ผลิตภาพ 11,122 ล้านบาท (9.6%) รวมถึงมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือการส่งออก
4. ด้านเศรษฐกิจชุมชน และอื่นๆ 9,201 ล้านบาท (8%)
โดยโครงการที่ได้รับพิจารณาเน้นการ กระจายการลงทุนไปทั่วประเทศ ครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดและทุกอำเภอ โดยคำนึงถึงรายได้ต่อหัวของประชากรในแต่ละจังหวัด เพื่อจัดสรรเงินให้จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำในสัดส่วนที่สูงกว่า
นายพิชัย กล่าวต่อว่า คาดการณ์ว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 115,000 ล้านบาทนี้ จะช่วย สร้างงานได้ประมาณ 6-7 ล้านคน และ เพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้ประมาณ 0.4% แม้ว่าหากสามารถดำเนินโครงการได้เต็มวงเงิน 157,000 ล้านบาท อาจเพิ่ม GDP ได้ถึง 0.5-0.6% แต่เมื่อหักผลกระทบจากมาตรการที่เคยดำเนินการไปแล้ว คาดว่า GDP จะเพิ่มขึ้นสุทธิ 0.4%
งบประมาณในส่วนนี้จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2567 และจะมีการพิจารณาแผนงานต่อเนื่องสำหรับปีงบประมาณ 2569-2571 เพื่อดึงดูดการลงทุน คาดว่าเงินจากโครงการแต่ละโครงการจะเริ่มเข้าสู่ระบบได้ตั้งแต่ต้นเดือนก.ค.นี้ และจะมีการผูกพันงบประมาณในวันที่ 30 ก.ย.2568
“นายกฯ ได้กำชับให้ทุกโครงการเป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเจ้ากระทรวงต้นสังกัดที่มีหน่วยงานผู้ขอรับงบประมาณอยู่ จะต้องกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด และหากพบความผิดปกติหรือไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ ให้รายงานเพื่อพิจารณาไม่ใช้หรือระงับงบประมาณนั้น”
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้มีมติให้มีการแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการกำกับติดตาม และประเมินผล เพื่อตรวจสอบ และยืนยันความสำเร็จ และดำเนินโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และป้องกันการทุจริต
สำหรับงบประมาณที่เหลืออยู่ราว 40,000 ล้านบาท จะมีการพิจารณาโครงการที่เสนอจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน วงเงินราว 60,000 ล้านบาท ซึ่งอาจมีบางส่วนที่ยังไม่ผ่านหลักเกณฑ์หรือซ้ำซ้อน โดยจะถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้งว่ามีโครงการใดที่ตกหล่น และสมควรได้รับการลงทุน นายพิชัย ระบุว่า หากไม่ได้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดก็ไม่เป็นไร และงบประมาณที่เหลือก็จะเป็นผลดีต่อรัฐบาลในการลดภาระหนี้สิน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







