แนวคิดเศรษฐศาสตร์-นิติศาสตร์ : กฎหมายการแข่งขันทางการค้า

พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 (พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าฯ) เป็นกฎหมายการแข่งขันทางการค้าของไทยที่ได้รับการพัฒนามาจากพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542
ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในประเทศไทย และมุ่งคุ้มครองผู้ประกอบธุรกิจในทุกระดับ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกฎหมายการแข่งขันทางการค้าเป็นกฎหมายเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ดังนั้น ในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวนี้ หาใช่จะพิจารณาเพียงมุมมองหรือมิติทางนิติศาสตร์เพียงอย่างเดียวไม่ หากแต่ยังต้องคำนึงถึงมุมมองหรือมิติทางเศรษฐศาสตร์เป็นสำคัญ เพราะหลักคิดทางเศรษฐศาสตร์ สามารถถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อโครงสร้างตลาด ผู้ประกอบธุรกิจและผู้บริโภค รวมไปถึงสวัสดิการทางสังคมโดยรวม
แนวคิดเศรษฐศาสตร์ มองการแข่งขันเป็นกลไกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) ของระบบเศรษฐกิจ ทั้งในเชิงผลิต (Productive Efficiency) และการจัดสรร (Allocative Efficiency) โดยมุ่งหวังให้ตลาดดำเนินการได้อย่างเป็นธรรมภายใต้หลัก “อุปสงค์-อุปทาน” และ “ราคาที่เป็นธรรม”
หากมีพฤติกรรมใดๆ ที่ขัดขวางกลไกเหล่านี้ ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิด “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” ต่อสังคมโดยรวม เช่น การลดคุณภาพสินค้า การตั้งราคาที่สูงเกินจริง หรือการกีดกันผู้เล่นรายใหม่ในการเข้าสู่ตลาด
หนึ่งในแนวคิดเศรษฐศาสตร์ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกฎหมายการแข่งขันทางการค้าคือ “สวัสดิการของผู้บริโภค (Consumer Welfare)” ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญในการประเมินว่า พฤติกรรมทางธุรกิจส่งผลดีหรือเสียต่อระบบเศรษฐกิจ
แนวคิดนี้กลายเป็นฐานคิดสำคัญในระบบกฎหมายการแข่งขันทางการค้าของหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์การควบรวมธุรกิจ หรือพฤติกรรมการใช้อำนาจเหนือตลาดว่าเกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคหรือไม่
ในบริบทของประเทศไทย แนวคิดเศรษฐศาสตร์ได้ถูกนำมาใช้อย่างชัดเจนใน พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าฯ โดยเฉพาะในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการและการใช้อำนาจเหนือตลาด ซึ่งคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) มีอำนาจในการพิจารณาความเหมาะสมของพฤติกรรมเหล่านี้ โดยใช้ข้อมูลทางเศรษฐศาสตร์ประกอบกับหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย
อาจกล่าวได้ว่า แนวคิดเศรษฐศาสตร์มิได้เป็นเพียงเครื่องมือประกอบ แต่เป็นเสมือนแกนกลางที่ช่วยทำให้กฎหมายการแข่งขันทางการค้ามีเป้าหมายที่ชัดเจน วัดผลได้ และสอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาดในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นหลักฐานสำคัญว่า กฎหมายการแข่งขันทางการค้า รวมถึงประกาศต่างๆ ของ กขค. จะต้องถูกออกแบบโดยเข้าใจกลไกตลาด ไม่ใช่ถูกออกแบบให้เพียงเพื่อใช้ตีความตามถ้อยคำแห่งบทบัญญัติเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในเชิงโครงสร้างและสาระสำคัญของกฎหมาย ยังคงตั้งอยู่บนฐานคิดของนิติศาสตร์อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะในด้านหลักการ ความยุติธรรม กระบวนการยุติธรรม หรือความชอบธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย
แนวคิดทางนิติศาสตร์จึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าสามารถบังคับใช้ได้อย่างมีระบบ โปร่งใส และไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลหรือผู้ประกอบธุรกิจในระบบเศรษฐกิจเสรี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ “หลักนิติธรรม (Rule of Law)” ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานของระบบกฎหมายสมัยใหม่ ที่เน้นให้ผู้ใช้อำนาจรัฐต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และประชาชนมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม
“ความแน่นอนทางกฎหมาย (Legal Certainty)” กล่าวคือ ประชาชนหรือผู้ประกอบธุรกิจต้องสามารถคาดการณ์ได้ว่าพฤติกรรมทางธุรกิจแบบใดเป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาตหรือห้าม เพื่อจะได้ปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับกฎหมาย และลดความเสี่ยงจากการถูกดำเนินคดีโดยไม่มีเหตุอันควร
แนวคิดทางนิติศาสตร์ยังคำนึงถึง “ความเป็นธรรมในเชิงโครงสร้าง” เช่น การป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ใช้อำนาจทางเศรษฐกิจทำลายโอกาสของผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย หรือสร้างเงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียมกันในตลาด หรือในประเด็นเรื่อง “การสนับสนุนให้เกิดความโปร่งใส (Transparency) และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน” ก็ปรากฏให้เห็นอยู่ใน พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าฯ
กล่าวคือ มีกำหนดให้ประชาชนทั่วไปสามารถร้องเรียนต่อ กขค. ได้ และกำหนดให้ กขค. ต้องเผยแพร่คำวินิจฉัย ข้อเท็จจริง และเหตุผลในการตัดสินคดีต่อสาธารณะ นอกจากนี้ยังมีช่องทางให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อขอความคุ้มครองตามกระบวนการยุติธรรม
ยิ่งกว่านั้นแนวคิดทางนิติศาสตร์ยังมีบทบาทในการ “สร้างความชอบธรรมทางสังคมให้กับการใช้อำนาจของรัฐในการควบคุมภาคธุรกิจ” โดยทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ใช่เพียงแค่การควบคุมทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องสิทธิของผู้บริโภค ผู้ประกอบธุรกิจ และผลประโยชน์สาธารณะ
กล่าวได้ว่า หากนำแนวคิดทั้งสองศาสตร์ กล่าวคือ แนวคิดทางนิติศาสตร์และแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ มาผสานในการวิเคราะห์การบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า ย่อมเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะจะส่งผลให้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าไม่ถูกตีความตามตัวบทอย่างแข็งทื่อ หรือตรงไปตรงมาตามตัวอักษร แต่กลับยืดหยุ่นและตอบสนองต่อโครงสร้างตลาดจริงได้อย่างมีนัย







