ภาครัฐ’ ฉุดขีดแข่งขันไทยทรุด ร่วง 5 อันดับ TDRI จับตาสัญญาณถดถอย

IMD เผย World Competitiveness Ranking 2025 “ไทย” ตกอยู่อันดับ 30 จาก 25 ในปีที่แล้ว รั้งท้ายในภูมิภาค ตัวชี้วัดด้าน ‘ประสิทธิภาพรัฐ’ ร่วงเยอะสุด “หอการค้า” ชี้ เอกชนพร้อมร่วมมือรัฐเพิ่มขีดความสามารถประเทศให้ทันโลก ส.อ.ท.ห่วง “ประสิทธิภาพรัฐ” ดิ่งหนัก 8 อันดับ จี้เร่งแก้ด่วน “ทีดีอาร์ไอ” ชี้ทุกภาคส่วนต้องตื่นตัวแก้ปัญหา
KEY
POINTS
Key Point
- IMD เผย World Competitiveness Ranking 2025 “ไทย” ตกอยู่อันดับ 30 จาก 25 ในปีที่แล้ว รั้งท้ายในภูมิภาค
- ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 14 ประเทศ พบว่า ขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยอยู่กลุ่มท้ายในอันดับที่ 11
- ตัวชี้วัดด้าน ‘ประสิทธิภาพรัฐ’ ร่วงเยอะสุด
- “หอการค้า” ชี้ เอกชนพร้อมร่วมมือรัฐเพิ่มขีดความสามารถประเทศให้ทันโลก
- ส.อ.ท.ห่วง“ประสิทธิภาพรัฐ” ดิ่งหนัก 8 อันดับ จี้เร่งแก้ด่วน
- “ทีดีอาร์ไอ” ชี้ทุกภาคส่วนต้องตื่นตัวแก้ปัญหาก่อนตกขบวนการพัฒนา
การผลักดันขีดความสามารถในการแข่งขันเป็นประเด็นที่หลายรัฐบาลให้ความสำคัญในการผลักดันเพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศ โดยมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนร่วมดำเนินการ
สถาบันการจัดการนานาชาติ หรือ International Institute for Management Development (IMD) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยรายงาน World Competitiveness Ranking 2025 พบว่า “ประเทศไทย” มีขีดความสามารถในการแข่งขันในปี 2568 ร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 30 จากอันดับที่ 25 ในปี 2567 และยังเป็นกลุ่มรั้ง 5 อันดับท้ายในภูมิภาค โดยอยู่ในอันดับที่ 11 จากทั้งหมด 14 ประเทศ
สำหรับการจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ/ดินแดน ทั้งหมด 69 แห่งทั่วโลก ในปีนี้ IMD ประเมินขีดความสามารถใน 4 ด้านหลัก โดยการจัดอันดับของประเทศไทยมี ดังนี้
1.สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ได้อันดับ 8 จากเดิมอันดับ 5 ในปีที่แล้ว โดยตัวชี้วัดที่ลดลงมากที่สุดเป็นการลงทุนระหว่างประเทศที่ลดลง 6 อันดับ และระดับราคา และค่าครองชีพลดลง 4 อันดับ
2.ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) ได้อันดับ 32 จากเดิมอันดับ 24 ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่อันดับลดลงมากที่สุดถึง 8 อันดับเป็นผลมาจากการลดลงของอันดับด้านการคลังภาครัฐที่ลดลงถึง 9 อันดับ และการลดลงของกรอบการบริหารภาครัฐที่ลดลงถึง 10 อันดับ
3.ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ได้อันดับ 24 จากเดิมอันดับ 20 ในปีที่แล้ว โดยตัวชี้วัดที่อันดับลดลงมากที่สุด คือ การเงินลดลงถึง 12 อันดับมาอยู่ที่ 36
4.โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ได้อันดับ 47 จากเดิมอันดับ 43 ในปีที่แล้ว โดยตัวชี้วัดที่อันดับลดลงมากที่สุด คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีลดลงถึง 7 อันดับ มาอยู่ที่ 32
ชี้ปัจจัยท้าทายของไทย 5 ประเด็น
นอกจากนี้รายงานของ IMD ยังได้ระบุถึงความท้าทายในปี 2025 ของประเทศไทยไว้ 5 ประเด็น ประกอบด้วย
1.การวางกลยุทธ์ที่หลากหลาย และยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับนโยบายภาษี (สหรัฐ)
2.การพิจารณาทางเลือกในการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์
3.การสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SME ให้สามารถปรับตัว และปฏิบัติตามข้อกำหนดระดับโลกด้าน ESG
4.การพัฒนาแนวทางแบบ Quick-win เพื่อลดช่องว่างด้านบุคลากรในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ
5.การส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ก่อนหน้านี้ในการจัดอันดับเมื่อปี 2567 ประเทศไทยเพิ่งจะสามารถขยับอันดับขึ้นมาได้ถึง 5 อันดับ อยู่ที่ 25 ก่อนที่ปีนี้จะถอยหลังกลับไปสู่จุดเดิมในอันดับที่ 30 เหมือนเมื่อปี 2566
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีการจัดอันดับทั้งหมด 14 ประเทศ/ดินแดนนั้น ยังพบว่า ขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยอยู่กลุ่มท้ายในอันดับที่ 11 ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่ 40, ฟิลิปปินส์ 51 และมองโกเลีย 65
หอการค้าชี้ภาคเอกชนพร้อมร่วมแก้ปัญหา
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า IMD จัดอันดับขีดความสามารถไทยร่วงลงมา 5 อันดับ ดังนั้นไทยต้องเร่งขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันในทุกด้าน ซึ่งเอกชนพร้อมอยู่แล้วเพียงแต่ขอให้รัฐบาลสนับสนุน โดยรัฐบาลต้องใช้ทุกภาคส่วนของรัฐบาลมาเป็นตัวช่วยหนุนภาคเอกชน ที่ผ่านมายังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง ทั้งนโยบาย งบประมาณ บุคลากร
ขณะนี้เอกชนเดินหน้ายกระดับความสามารถของประเทศในหลายๆ เรื่อง เช่น การส่งเสริมผู้ประกอบการ การส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานสนับสนุน Startup & Deep Tech รวมทั้งการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสมาชิกหอการค้าไทย และ SMEs
ดังนั้นรัฐจะต้องมีนโยบายที่จะเพิ่มขีดความสามารถของประเทศออกมาเป็นแนวปฏิบัติ หากสนับสนุนได้ตรงจุดเพื่อให้ประเทศเติบโตอย่างมั่นคง
“นโยบายรัฐเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันประเทศ ในทุกๆ ด้านเพื่อให้มีความทันสมัย และเท่าทันโลกในยุคนี้ และต้องร่วมมือกับภาคเอกชน ภาคการศึกษา ในการขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน” นายพจน์ กล่าว
ส.อ.ท.แนะรัฐบาลเร่งปรับปรุง
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าการจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในโลกเปลี่ยนแปลงได้เสมอประเทศไทยเคยถูกปรับลดอันดับไปที่อันดับ 33 ในปี 2022 ก่อนปรับดีขึ้นเป็นอันดับ 30 ในปี 2023 และอันดับ 25 ในปี 2024 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม แม้ปี 2025 ไทยถูกปรับอันดับลงไปเป็นอันดับ 30 ก็มั่นใจว่าภาครัฐ และภาคเอกชนจะร่วมมือกันแก้ปัญหาที่เผชิญ และพัฒนาอันดับของประเทศไทยให้ดีขึ้นได้อีก โดยด้านที่ต้องทุ่มเทให้ความสำคัญมากสุดคือ ประสิทธิภาพของรัฐบาล (Government Efficiency) ซึ่งลดลงมากที่สุดถึง 8 อันดับ จากอันดับ 24 มาเป็นอันดับ 32
ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งปรับปรุงด้านนี้อย่างจริงจัง เข้มงวด และทันการณ์ ซึ่งก็ได้เห็นตัวอย่างที่ดีแล้วในบางส่วนราชการ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ทำงานแบบสุดซอยในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อขจัดผู้ทำธุรกิจที่เอาเปรียบประเทศชาติ เป็นอันตรายกับประชาชน โดยหวังว่ากระทรวงอื่นๆ ย่อมพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้เช่นกัน
เร่งหนุนเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับผลงานทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ประสิทธิภาพทางธุรกิจ (Business Efficiency) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) นั้น นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท.นำเสนอต่อรัฐบาลในหลายมิติมาตลอด ได้แก่ การรักษาและพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้ว
รวมถึงการเพิ่มแรงขับเคลื่อนให้ประเทศไทยด้วยอุตสาหกรรมใหม่ๆ ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และการค้า การส่งเสริมสนับสนุนสินค้าผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand) การใช้มาตรการทางการค้า (Trade Measures) ต่างๆ รวดเร็ว และทันการณ์ เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบประเทศอื่น โดยภาคอุตสาหกรรมพร้อมร่วมมือกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และเต็มที่ในทุกมิติ
“ทีดีอาร์ไอ” ชี้สัญญาณถดถอย
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 30 เป็นสัญญาณที่สะท้อนว่าความสามารถในการแข่งขันของไทยเริ่มเสื่อมถอยลงต่อเนื่อง โดย IMD จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโดยดูจากปัจจัยสำคัญ คือ 1. สถานะทางเศรษฐกิจ 2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ 3. ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และ 4. โครงสร้างพื้นฐาน
ซึ่งพบว่าในภาพรวมนั้น อันดับของไทยลดลงในทุกปัจจัย โดยบางปัจจัยที่ลดลง แต่ยังถือว่าไทยอยู่ในอันดับที่ดี คือ สถานะทางเศรษฐกิจ ที่ลดลงจากเดิมอันดับ 5 ลงมาเหลืออันดับ 8 โดยส่วนที่ยังดีอยู่มากจากจุดแข็งคือ การส่งออก และการจ้างงานที่ทำได้ดี
ในขณะที่ปัจจัยที่อันดับลดลง แต่อันดับยังคงถือว่าดีพอสมควร คือ ประสิทธิของภาคธุรกิจ โดยอันดับลดลงจาก 20 มาอยู่ที่ 24 ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดแรงงานที่เข้มแข็ง และประชากรมีทัศนคติที่ดีในการทำงาน
หวั่นไทยตกขบวนหากไม่มีการพัฒนา
สำหรับ 2 ปัจจัยสุดท้าย มีอันดับลดลงและเป็นปัจจัยที่อันดับค่อนข้างไม่ดี คือ ประสิทธิภาพของภาครัฐที่อันดับลดลงจาก 24 เป็นอันดับ 32 ซึ่งเป็นผลมาจาก โครงสร้างสถาบัน (Institution) โครงสร้างทางสังคม และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจที่ต้องพัฒนาอีกมาก
รวมทั้งปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่อันดับที่แย่อยู่แล้ว คือ อันดับ 43 ก็ตกลงมาเป็นอันดับ 47 ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แย่กว่าประเทศอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ ปัญหาคุณภาพการศึกษา ปัญหาด้านสาธารณสุข และปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ลดลงเช่นกัน
สำหรับปัจจัยในเรื่องของการเมืองที่ IMD นั้นมองว่าประเทศไทยมีปัจจัยที่แย่ลงนั้นนักวิชาการจากทีดีอาร์ไอมองว่าปัจจัยที่ IMD ให้ความสำคัญที่เกี่ยวข้อง คือ ปัญหาคอร์รัปชัน ปัญหาความไม่สงบทางการเมือง และความสมานสามัคคีของคนในประเทศ ซึ่งไม่ใช่แค่เสถียรภาพทางการเมืองอย่างเดียว เช่น บ้านเมืองสงบแต่โกงกินมีปัญหาคอร์รัปชันมากก็ถือว่าไม่ดี
“ความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอย ควรจะเป็นเครื่องช่วยปลุกให้ทุกภาคส่วนตื่นตัวเร่งช่วยกันปรับปรุงแก้ไข ยกระดับความสามารถในการแข่งขันก่อนที่ประเทศไทย จะตามหลังประเทศอื่นๆ จนตกขบวนการพัฒนาไปในที่สุด” นายนณริฏ กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







