'อบก.'ดึงเอไอขับเคลื่อน ซื้อ-โอนถ่าย'คาร์บอนเครดิต'

การลดก๊าซเรือนกระจกในทุกห่วงโซ่ มีความสำคัญกับการใช้ชีวิตประจำวัน อบก.ที่เป็นหน่วยงานกลาง จึงสนับสนุนอย่างจริงจัง เพื่อรองรับกฎเกณฑ์ต่างๆที่มีเข้มข้นมากขึ้น
ณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เปิดเผยว่า ตามหน้าที่หลักของ อบก. ในการสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก จะไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยหน่วยงานเดียว จำเป็นอย่างยิ่งที่ อบก.ต้องดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆทุกหน่วยงาน ทั้งรูปแบบให้คำปรึกษา พัฒนาโครงการ รวมไปถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ดังนั้น อบก. จึงร่วมกับหน่วยงานชั้นนำด้านเทคโนโลยีของประเทศ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THAICOM บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเปิดตัว “แพลตฟอร์มการประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ด้วย Remote Sensing และ AI”
ใน 4 แพลตฟอร์มแรกที่ผ่านมาตรฐานตามเกณฑ์การพิจารณาของ อบก.แล้วคือ แพลตฟอร์ม Carbon Atlas โดย GISTDA แพลตฟอร์ม Carbon Watch โดย THAICOM แพลตฟอร์ม CERT+ โดย บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด และ แพลตฟอร์ม Smart Forest โดย บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นในเครือ บ.ปตท.
แพลตฟอร์มการประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ด้วย Remote Sensing และ AI จะช่วยเพิ่มความแม่นยำ ลดระยะเวลาและต้นทุนในการตรวจวัดปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของพื้นที่ป่าไม้ เพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ที่มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือในระดับสากล นับเป็นครั้งแรกอย่างเป็นางการของไทยที่นำAI มาประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้อย่างเต็มรูปแบบ
" ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การประเมินคาร์บอนเครดิตมีความแม่นยำเท่านั้นแต่ยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต รวมทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้พัฒนาโครงการและผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions)”
นอกจากนี้ในปี 2566 ไทยกับสมาพันธรัฐสวิสได้ลงนามบันทึกความร่วมมือตามความตกลงปารีส ข้อ 6.2 คือความร่วมมือที่มีการใช้ผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่ถ่ายโอนระหว่างประเทศ “Cooperative approaches that involve the use of internationally transferred mitigation outcomes” (ITMOs) ในการบรรลุเป้าหมาย NDC ถือเป็นความร่วมมือครั้งแรกของโลกและครั้งแรกของประเทศไทย ที่มีการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ
โดยไทยได้รับการสนับสนุนผ่านการลงทุนจากมูลนิธิ Klik (The Foundation for Climate Protection and Carbon Offset Klik) ของสมาพันธรัฐสวิสในโครงการนำร่อง “Bangkok e-bus Program” โดยมี บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) และ Carbon Coordinating Managing Entity Company Limited เป็นผู้พัฒนาโครงการดังกล่าว เป็นการดำเนินกิจกรรมภายใต้มาตรฐานโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย แบบแผนงาน (T-VER Programme of Activities: T-VER-PoA)
ภายใต้ โครงการ Bangkok e-bus ได้ดำเนินการเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางสาธารณะของภาคเอกชนเป็นรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า (รถร่วมบริการ) ที่ให้บริการในกรุงเทพมหานครรวมทั้งหมด 122 เส้นทาง รวมทั้งเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางจากยานพาหนะส่วนตัว มาใช้ระบบขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ยานพาหนะไฟฟ้า ซึ่งมีข้อตกลงในการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตจำนวน 500,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) ภายในกรอบระยะเวลาตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 ถึง 31 ธ.ค. 2573
ปัจจุบัน เกิดการซื้อขายและถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศจากโครงการดังกล่าวไปแล้ว จำนวน 31,138 tCO2eq สำหรับมูลค่าในการซื้อขายคาร์บอนเครดิตครั้งนี้ยังไม่ได้รับการเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการจากผู้พัฒนาโครงการ โดยข้อมูลจากแหล่งข่าวต่างประเทศระบุที่ราคาประมาณ 30 US$/ tCO2eq
ไทยยังลงนามบันทึกความร่วมมือตามความตกลงปารีส ข้อ 6.2 กับ ญี่ปุ่น เป็นการดำเนินโครงการภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) โดยไทยรับเงินทุนสนับสนุน/ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นมีจำนวน 57 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการประเภทการผลิตพลังงานหมุนเวียน จำนวน 28 โครงการ รองลงมาเป็นโครงการประเภทการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จำนวน 24 โครงการ การผลิตพลังงานหมุนเวียนร่วมกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จำนวน 4 โครงการ และโครงการเผาทำลาย F-gas โดยเป็นโครงการต้นแบบ JCM ที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่นให้การสนับสนุนเงินลงทุน จำนวน 53 โครงการ มูลค่าเงินสนับสนุนเท่ากับ 13,839,040,000 เยน โดยมีเงินลงทุนรวม 41,074,934,403 เยน ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้เท่ากับ 389,685 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ทั้งนี้ไทยทำความร่วมมือ JCM กับญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2558 ในปี พ.ศ. 2560 กระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่นให้ทุนสนับสนุนเพียง 2 โครงการ เนื่องจากอยู่ระหว่างการขยายระยะเวลาความร่วมมือ JCM ซึ่งสิ้นสุดลงหลังความตกลงปารีสมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2559 และกระทรวงสิ่งแวดล้อมไม่คัดเลือกโครงการในปี พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นช่วงที่จัดทำบันทึกความร่วมมือฯ ฉบับใหม่ ตามความตกลงปารีส ข้อ 6.2
ที่ผ่านมามีโครงการที่ขึ้นทะเบียนจำนวน 11 โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้เท่ากับ 58,096 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และมีโครงการที่ได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตแล้ว จำนวน 5 โครงการ มีปริมาณคาร์บอนเครดิตเท่ากับ 4,032 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยแบ่งปันคาร์บอนเครดิตเป็นของฝ่ายไทย 2,015 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ฝ่ายญี่ปุ่น 2,017 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ในขณะที่ ไทยจะลงนามบันทึกความร่วมมือตามความตกลงปารีส ข้อ 6.2 กับสิงคโปร์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าจะดำเนินการได้ในช่วง ส.ค.–ก.ย. นี้
นายณกรณ์ กล่าวว่า อบก.ยังได้เตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการโดยพัฒนาดิจิตัลแพลตฟอร์มสำหรับใช้เป็นระบบคำนวณและทวนสอบ Embedded Emissions เพื่อให้สามารถรองรับมาตรการ CBAM ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 และมีการทดลองใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวโดยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบในปี พ.ศ. 2567-2568
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเข้าร่วมใช้งาน CBAM Platform จำนวน 109 ผลิตภัณฑ์ จาก 36 องค์กร ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มสินค้าที่มาตรการ CBAM ครอบคลุม ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ ปุ๋ย อลูมิเนียม ไฟฟ้า ไฮโดรเจน และผลิตภัณฑ์ปลายน้ำบางตัวที่กำหนดซึ่งต่อเนื่องจากกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก เช่น น็อตและสลักเกลียว
โดยอบก. ได้พัฒนาแนวทางการรายงาน CBAM สําหรับ 4 ประเภทอุตสาหกรรม ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม ปูนซิเมนต์ และไฟฟ้า ทำให้ผู้ประกอบการส่งออกไปยังสภาพยุโรป ได้มีความสะดวกและความเข้าใจในกระบวนการคำนวณ การรายงาน และทวนสอบ ค่า Embedded Emissions มาก







