สหรัฐทุบซ้ำขึ้นภาษีเหล็กไทย 50% ส.อ.ท. หวั่นลาม 'ชิ้นส่วน-เซมิคอนดักเตอร์'

สหรัฐทุบซ้ำขึ้นภาษีเหล็กไทย 50% ส.อ.ท. หวั่นลาม 'ชิ้นส่วน-เซมิคอนดักเตอร์'

“ส.อ.ท.” วอนรัฐเร่งเจรจา ทั้งภาษีตามมาตรา 232 และภาษีตอบโต้ ซึ่งจะครบกำหนด 8 ก.ค.2568 นี้ หวั่นมาตรา 232 ลามไปสู่อุตสาหกรรมสำคัญอย่าง “ชิ้นส่วนรถยนต์ - เซมิคอนดักเตอร์” และอุตฯ อื่นๆ เช่น ธาตุแรร์เอิร์ธ ไม้ และผลิตภัณฑ์ไม้ ทองแดง ผลิตภัณฑ์ยา และรถบรรทุกพร้อมชิ้นส่วน

KEY

POINTS

  • การเก็บภาษี 25% เดิม อาจไม่รุนแรงหรือมีนัยสำคัญต่อไทย เพราะเก็บจากทุกประเทศเท่ากัน แต่รุนแรงทันทีจาก 50% สินค้าที่อยู่ระหว่างส่งมอบ และคำสั่งซื้อที่ยังไม่ถึงมือลูกค้า ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
  • ผู้ส่งออกต้องเจรจาขอให้ผู้นำเข้าช่วยแบกรับภาษี (เช่น คนละครึ่ง) หรือขอยกเลิกคำสั่งซื้อทั้งหมด ทำให้ขาดทุน ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็ก และอะลูมิเนียมไปสหรัฐ ไม่เกิน 200,000 ตัน/ปี ไม่คุกคามอุตสาหกรรม สหรัฐ
  • ส.อ.ท. ขอให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เจรจาคงอัตราภาษีตามมาตรา 232 ไว้ที่ไม่เกิน 25% หรือไม่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง โดยพ่วงการเจรจาภาษีมาตรา 232 ไปกับการเจรจาภาษีตอบโต้ ที่จะครบกำหนดเส้นตาย 8 ก.ค.68
  • กังวลว่ามาตรา 232 จะลามไปยังสินค้าอื่นๆ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์, เซมิคอนดักเตอร์, ธาตุแรร์เอิร์ธ, ไม้ และผลิตภัณฑ์ไม้, ทองแดง, ผลิตภัณฑ์ยา, รถบรรทุก และชิ้นส่วน

 

อุตสาหกรรมเหล็ก และอะลูมิเนียมไทย ต้องเผชิญความไม่แน่นอนขั้นรุนแรง จากมาตรการที่สหรัฐ เพิ่มภาษีนำเข้าภายใต้มาตรา 232 จากเดิม 25% เป็น 50% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มิ.ย.2568 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสินค้าที่อยู่ระหว่างส่งมอบ และคำสั่งซื้อที่ยังไม่ถึงมือลูกค้า ทำให้ผู้ส่งออกต้องเจรจาแบกรับภาษีร่วมกันหรือถึงขั้นขอยกเลิกคำสั่งซื้อ

นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การส่งออกสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียมของไทยไปยังสหรัฐ เผชิญปัญหา และความไม่แน่นอนอีกครั้ง จากการประกาศเพิ่มภาษีตามมาตรา 232 (Section 232 Tariffs) ภายใต้กฎหมาย Trade Expansion Act 1962 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐ กำหนดภาษีหรือกำหนดมาตรการทางการค้ากับการนำเข้าสินค้าใดๆ ที่เป็นภาวะคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ (national security)

ทั้งนี้ หลังจากที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้าดำรงตำแหน่งในวาระที่ 1 ในปี 2560 ได้ประมาณ 1 ปี ก็ได้ลงนามคำสั่งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็ก 25% และสินค้าอะลูมิเนียม 10% ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2561 เนื่องจากถือว่าเหล็ก และอะลูมิเนียมเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของสหรัฐ ที่ต้องปกป้องไว้

อย่างไรก็ตาม ต่อมาหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่งในวาระที่ 2 ในเดือนม.ค. 2568 ได้ลงนามคำสั่งในวันที่ 11 ก.พ. 2568 มีผลบังคับในเดือนถัดมาคือวันที่ 12 มี.ค. 2568 อาศัยอำนาจตามมาตรา 232 เก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กที่ 25% เท่ากับในคำสั่งเดิมที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2561 แต่ได้ยกเลิกข้อยกเว้นที่เคยให้กับประเทศแคนาดา และเม็กซิโก และยกเลิกโควตาทั้งหมดที่เคยให้กับบางประเทศ เช่น สหภาพยุโรป บราซิล ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เป็นต้น และปรับเพิ่มภาษีนำเข้าอะลูมิเนียม จาก 10%เป็น 25% อีกด้วย

นายบัณฑูรย์ กล่าวว่า จากการประเมินผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าวต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กของไทยไปยังสหรัฐ เช่น ท่อเหล็ก ท่อสเตนเลส และเหล็กแผ่นเคลือบ พบว่า อาจจะไม่รุนแรงหรือไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอัตราภาษียังคงเดิมที่ 25% และเก็บจากทุกประเทศเท่ากันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งอาจจะเป็นผลดีกับการแข่งขันของผลิตภัณฑ์เหล็กของไทยบางประเภทก็ได้

อย่างไรก็ดี ล่าสุด หลังจากมีการประกาศเพิ่มภาษีตามมาตรา 232 อีกครั้งในวันที่ 30 พ.ค.2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ ลงนามคำสั่งวันที่ 3 มิ.ย.2568 มีผลบังคับทันทีในวันถัดมาคือวันที่ 4 มิ.ย.2568 โดยเพิ่มภาษีจาก 25% เป็น 50% ทั้งเหล็ก และอะลูมิเนียม ส่งผลกระทบทันทีแบบตั้งตัวไม่ทันกับสินค้าระหว่างส่งมอบซึ่งส่วนใหญ่คือสินค้าท่อเหล็ก

“โดยผลกระทบที่เกิดในกรณีที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ว่าให้ผู้นำเข้าจ่ายภาษีทั้งหมด ก็มีการเจรจาขอให้ช่วยกันจ่ายเช่นคนละครึ่งทำให้อาจต้องขาดทุน หรือกรณีคำสั่งซื้อที่ยังไม่ส่งมอบ ก็มีทั้งการเจรจาขอลดราคาหรือขอยกเลิกคำสั่งซื้อทั้งหมด”

ทั้งนี้ ผู้แทนจากกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก และกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม สอท. ได้ร้องขอให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นำเรียนคณะเจรจาของรัฐบาล ขอให้เจรจาคงอัตราภาษีตามมาตรา 232 ไว้ที่ไม่เกิน 25% หรือไม่สูงกว่าประเทศคู่แข่งอื่นๆ ที่ส่งออกไปสหรัฐ เนื่องจากประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็ก และอะลูมิเนียมไปสหรัฐน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

อีกทั้ง ไม่ได้สร้างภาวะคุกคามต่ออุตสาหกรรมเหล็ก และอะลูมิเนียมของสหรัฐ แต่อย่างใด โดยขอให้พ่วงการเจรจาอัตราภาษีตามมาตรา 232 ไปกับการเจรจา Reciprocal Tariff ซึ่งจะครบกำหนดเส้นตายของการขยายเวลาในวันที่ 8 ก.ค.2568

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการเจรจาอัตราภาษีตามมาตรา 232 ในครั้งนี้ อาจจะมีความสำคัญกับอุตสาหกรรมอื่นของไทยบางประเภทด้วย เนื่องจากในขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐ ได้ขยายขอบเขตการบังคับใช้มาตรา 232 ไปยังสินค้าอื่นๆ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงกำลังพิจารณาจะใช้บังคับกับ เซมิคอนดักเตอร์ ธาตุแรร์เอิร์ธ ไม้ และผลิตภัณฑ์ไม้ ทองแดง ผลิตภัณฑ์ยา และรถบรรทุก และชิ้นส่วน เป็นต้น

“การที่สหรัฐ เตรียมขยายอัตราภาษีมาตรา 232 จึงอาจถูกใช้เป็นบรรทัดฐานกับสินค้าอื่นๆ ดังกล่าวเช่นกัน ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมขอฝากความหวัง และให้กำลังใจกับคณะเจรจาของรัฐบาล ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในการเจรจาทั้งอัตราภาษี reciprocal tariff และ ตามมาตรา 232 ในเร็ววันนี้”

ทั้งนี้ ทั่วโลกมีความต้องการเหล็กประมาณ 1,800 ล้านตันต่อปี โดยจีนมีความต้องการเหล็กครึ่งหนึ่งของโลกประมาณ 900 ล้านตันต่อปี มีกำลังการผลิต 1,100 ล้านตันต่อปี ในปีที่ผ่านมา ผลประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กในจีนไม่ค่อยดี 3 ไตรมาสแรกของผู้ประกอบการ 70% ขาดทุน เป็นปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินที่ล้นทำให้การส่งออกมีราคาต่ำ

ขณะที่สหรัฐมีความต้องการเหล็ก 100 ล้านตันต่อปี มีการนำเข้า 25 ล้านตันต่อปี ทำให้ธุรกิจเหล็กในสหรัฐมีกำไรได้ขึ้นลง ด้านของไทยความต้องการเหล็ก 16 ล้านตันต่อปี มีการผลิตเอง 7 ล้านตัน นอกนั้นเป็นการนำเข้า มีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำที่สุด คาดว่าสหรัฐน่าจะนำเข้าเหล็กในประเทศใกล้เคียง เช่น แคนาดา เม็กซิโก บราซิล ขณะที่จีน มีการส่งออกเหล็กไปสหรัฐเพียง 500,000 ตัน ด้านไทยส่งออกไปสหรัฐประมาณ 200,000 ตัน

ทั้งนี้ ผลทางอ้อมในกลุ่มประเทศอาเซียนมีเหล็กที่ส่งออกไม่ได้ก็จะมีความกดดันในการระบายสินค้า ซึ่งอาเซียนเป็นตลาดที่จะระบายสินค้า ซึ่งทุกประเทศมีแนวโน้มนโยบายตั้งการ์ดเรื่องอุตสาหกรรมเหล็กเพราะมีกำลังการผลิตที่เกินการใช้งานเพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำ ปัจจุบันรัฐบาลก็เตรียมการไปเจรจา ขณะที่เอกชนด้านผู้ประกอบการเตรียมตัวหาโอกาสที่จะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น แม้ค่าขนส่งแพงแต่ก็ยังพอมีรายได้

"หากเกินสงครามทางการค้าหรือมีการป้องกันมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันการทุ่มตลาด ไทยจึงต้องเร่งมาตรการเซฟการ์ดให้เข้มข้น ซึ่งรัฐบาลจึงต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว ส่งเสริมการลงทุนให้ประเทศไทยกระตุ้นพึ่งพาตัวเองมากขึ้นสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งเกษตรกร และอุตสาหกรรม "

สำหรับข้อมูลจาก สำนักนโยบาย และยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ช่วง 5 ปี (2563-2567) ไทยส่งออกเหล็ก และเหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ไปสหรัฐ และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนี้

1. เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ส่งออกไปสหรัฐปี 2563 มีมูลค่า 1,015 ล้านดอลลาร์, ปี 2564 มูลค่า 1,397 ล้านดอลลาร์, ปี 2565 มูลค่า 1,503 ล้านดอลลาร์, ปี 2566 มูลค่า 1,494 ล้านดอลลาร์ และปี 2567 มูลค่า 1,205 ล้านดอลลาร์

2. ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม ส่งออกไปสหรัฐปี 2563 มูลค่า 190 ล้านดอลลาร์, ปี 2564 มูลค่า 547 ล้านดอลลาร์, ปี 2565 มูลค่า 667 ล้านดอลลาร์, ปี 2566 มูลค่า 251 ล้านดอลลาร์ และปี 2567 มูลค่า 437 ล้านดอลลาร์

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์