‘เกมการเมือง’ กัมพูชาดึงแรงงานกลับ แนะรัฐบาลส่งสัญญาณไทยพึ่งชาติอื่นได้

‘เกมการเมือง’ กัมพูชาดึงแรงงานกลับ แนะรัฐบาลส่งสัญญาณไทยพึ่งชาติอื่นได้

"เกมการเมือง" ของผู้นำ "กัมพูชา" ที่จะดึงแรงงานกลับประเทศ เอกชนแนะรัฐบาลเร่งส่งสัญญาณว่าไทยพึ่งชาติอื่นได้

KEY

POINTS

  • การส่งสัญญาณดึงแรงงานกลับ เป็นเกมจิตวิทยาการเมือง ไม่น่าบังคับใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ ณ เม.ย. 68 มีแรงงานกัมพูชาถูกกฎหมาย 515,350 คน 14% ของแรงงาน 3 สัญชาติ
  • เชื่อว่าแรงงานกัมพูชาไม่แย่งอาชีพคนไทย เพราะส่วนใหญ่ทำงานในภาคก่อสร้าง, ประมง, เกษตรกรรม และบางส่วนในอุตสาหกรรม ซึ่งคนไทยไม่นิยมทำ
  • เอกชนต้องการให้เจรจาให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว เพราะความขัดแย้งไม่เป็นผลดีต่อการค้าการลงทุนร่วมกัน การดึงแรงงานกลับ อาจกระทบภาคก่อสร้างที่มีแรงงานกัมพูชามาก แต่สามารถทดแทนได้ด้วยชาติอื่น

กัมพูชาได้ตอบโต้ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาด้วยการประกาศดึงแรงงานกัมพูชากลับประเทศ โดยสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ระบุผ่านโซเชียลมีเดียวันที่ 14 มิ.ย.2568 เรียกร้องให้แรงงานชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศก่อนทางการไทยจะขับไล่

กระทรวงแรงงานรายงานว่าปัจจุบันมีแรงงานกัมพูชาทำงานในประเทศไทยประมาณ 5 ล้านคน แบ่งได้ ดังนี้

1.แรงงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 ก.ย.2567 และมติ ครม.วันที่ 4 ก.พ.2568 เป็นแรงงานกัมพูชาที่ได้รับใบอนุญาตแล้ว 40,942 คน และอยู่ระหว่างดำเนินการ 154,607 คน

2.แรงงานที่ได้รับอนุญาตตามมติ ครม.วันที่ 24 ก.ย.2567 (จดทะเบียนไม่ถูกต้อง) มีจำนวนแรงงานกัมพูชากลุ่มนี้ 110,771 คน

3.แรงงานที่ได้รับอนุญาตทำงานแบบไป-กลับ หรือตามฤดูกาล มีจำนวนแรงงานกัมพูชากลุ่มนี้ 184,810 คน

4.แรงงานที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานตาม MoU มีแรงงานกัมพูชากลุ่มนี้ 184,810 คน

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานองค์การนายจ้างผู้ประกอบการการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กัมพูชาส่งสัญญาณอาจนำแรงงานในไทยกลับประเทศเป็นเกมการต่อรองเชิงจิตวิทยาการเมืองมากการบังคับใช้ในทางปฏิบัติ แต่ไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือเพื่อไม่ให้เสียเปรียบและเร่งปรับยุทธศาสตร์ระยะยาวทั้งภาคแรงงานและอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือน เม.ย.2568 แรงงานกัมพูชาที่ถูกกฎหมายในไทย 515,350 คน คิดเป็นสัดส่วน 14% ของแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านใน 3 สัญชาติหลัก (เมียนมา 2.994 ล้านคน หรือ 79% และ สปป.ลาว 282,000 คน) แต่หากรวมแรงงานผิดกฎหมายคาดว่าแรงงานกัมพูชาในไทยอาจสูงถึง 800,000 คน

“แรงงาน 3 สัญชาติไม่ได้แย่งอาชีพคนไทย แต่มาทำงานที่คนไทยไม่ทำ เช่น ภาคก่อสร้าง การประมง ภาคเกษตรกรรม และบางส่วนในภาคอุตสาหกรรม การที่กัมพูชาบอกว่าจะดึงคนกลับง่ายๆ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะแรงงานกลุ่มนี้ส่งเงินกลับประเทศในกรณีคำนวณตาม 50% ของค่าแรงขั้นต่ำ 43,600 ล้านบาทต่อปี แต่อาจมากกว่านี้จึงทำให้แรงงานที่กลับไปจะไม่มีงานทำและเป็นปัญหาสังคม” นายธนิต กล่าว

ดังนั้น ประเด็นแรงงานจึงถูกดึงเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง แต่หากกลับจริงก็ไม่ง่ายสำหรับเคลื่อนย้ายคนครึ่งล้านที่ต้องใช้เวลา และต้องดูว่าแรงงานสมัครใจกลับหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมรับมือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เสียเปรียบ เช่น การเตรียมเปิดรับแรงงานจากประเทศอื่นเข้ามาทดแทนได้ทันทีหากกัมพูชาดึงแรงงานกลับไปจริงๆ จะก็ต้องเตรียมรับแรงงานจากประเทศอื่นเช่นจากเมียนมาเพิ่มเติม 500,000 คน ซึ่งถือว่าเล็กน้อย เพราะเมียนมาต้องการเข้ามาทำงานในไทยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้อง MOU ด้วยซ้ำไป

ทั้งนี้ ไทยควรพิจารณาแหล่งแรงงานจากประเทศอื่น เช่น บังกลาเทศ ซึ่งมีแรงงานในมาเลเซียเป็นล้านคน รวมถึงเวียดนามและอินเดีย โดยต้องทำการสำรวจความต้องการแรงงานอย่างจริงจังในระยะสั้น เพื่อสร้างกระแสให้ชัดเจนว่าประเทศไทยไม่ได้ง้อกัมพูชา

นายธนิต เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเราไม่พึ่งพิงกัมพูชา และพร้อมเปิดรับแรงงานจากประเทศอื่น ๆ และในระยะยาว ต้องเข้มข้นในเรื่องการใช้เทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม เพื่อลดการพึ่งพิงแรงงานคน โดยปัจจุบันภาคเกษตร เช่น การปลูกอ้อย มันสำปะหลัง หรือทุเรียน ก็เริ่มใช้เครื่องจักรมากขึ้น

“ไทยต้องถือโอกาสปรับยุทธศาสตร์ ไม่ใช่มัวแต่พูดถึง S-Curve หรือ New S-Curve ซึ่งไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องไม่ดี แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ มีส่วนน้อยที่ไปได้ ปัจจุบันไทยเหมือนย่ำอยู่กับที่ เช่น รับจ้างผลิต ขายข้าวเป็นตัน ซึ่งเห็นอยู่แล้วว่าสู้กับอินเดียไม่ได้ ดังนั้น ต้องนำมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า เช่นยางพาราที่ไทยส่งออกเป็นตันแต่กลับเป็นจีนที่ซื้อไปแปรรูปแล้วกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตยางของโลก"

ทั้งนี้ รัฐบาลต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี ซึ่งในระยะ 5-10 ปี จะต้องเริ่มลดการพึ่งพิงแรงงาน โดยรัฐบาลควรมีกองทุนเข้ามาช่วยสนับสนุนภาคเอกชนในการปรับตัว และเชื่อว่าการให้ค่าแรงปรับเพิ่มขึ้นได้จากการที่แรงงานมีทักษะมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามกลไกอุปสงค์และอุปทาน ไม่ใช่การตั้งค่าจ้างขั้นต่ำเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ถ้วนหน้าเหมือนที่เป็นอยู่

แหล่งข่าวจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชาทางภาคเอกชนต้องการให้มีการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วเพราะไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองประเทศ เพราะต่างพึ่งพาอาศัยกันทั้งการค้าและการลงทุนร่วมกัน

ส่วนปัญหาแรงงานที่จะมีการเรียกกลับประเทศกัมพูชานั้น อาจจะส่งผลกระทบในส่วนของภาคก่อสร้างที่มีการใช้แรงงานกัมพูชาค่อนข้างมาก แต่สามารถทดแทนได้ด้วยแรงงานจากชาติอื่นได้ ในขณะที่แรงงานที่ต้องเดินทางกลับประเทศก็จะได้รับผลกระทบจากรายได้ และเห็นว่าการประกาศยกระดับมาตรการตอบโต้ระหว่างกันอาจทำให้เวทีเจรจา JBC ล่มหรืออาจไม่บรรลุผล

นายอุกฤษฏ์ วงษ์ทองสาลี ประธานหอการค้าจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า แรงงานกัมพูชามีบทบาทในภาคเกษตรของจันทบุรี โดยมีแรงงานกัมพูชาเข้ามาทำงานเก็บผลไม้คัดกรอง การบรรจุกล่อง ซึ่งมีจำนวนคิดเป็นสัดส่วน 80 %ของแรงงานภาคการเกษตร ดังนั้น การปิดด่านไม่กระทบเฉพาะแค่มูลค่าเศรษฐกิจ แต่อาจจะกระทบต่อแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในล้งผลไม้จันทบุรี