สภานายจ้าง ดึงแรงงานกัมพูชาแค่เกม แนะเบรก 'ไทยเที่ยว-การค้า' สร้างแต้มต่อ

สภานายจ้าง ดึงแรงงานกัมพูชาแค่เกม แนะเบรก 'ไทยเที่ยว-การค้า' สร้างแต้มต่อ

“สภานายจ้าง” เผย “กัมพูชา” ส่งสัญญาณดึงแรงงานกลับเกมการต่อรอง เผยไทยเป็นแหล่งรายได้หลักปีละไม่ต่ำกว่า 4.3 หมื่นล้าน แนะรัฐสื่อสารตอบโต้ใช้ IO สร้างแต้มต่อ ปรับยุทธศาสตร์ระยะยาวพ้นกับดักการเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิต

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานองค์การนายจ้างผู้ประกอบการการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จากสถานการณ์กรณีที่กัมพูชาส่งสัญญาณอาจนำแรงงานที่อยู่ในไทยกลับประเทศ คือเกมการต่อรองในเชิงจิตวิทยาการเมืองมากกว่าความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ แต่ไม่ว่าอย่างไร ไทยก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือเพื่อไม่ให้เสียเปรียบและเร่งปรับยุทธศาสตร์ระยะยาว ทั้งภาคแรงงานและอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2568) แรงงานกัมพูชาที่ถูกกฎหมายในไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 515,350 คน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14% ของแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านใน 3 สัญชาติหลัก (เมียนมา 2.994 ล้านคน หรือ 79% และ สปป.ลาว 282,000 คน) อย่างไรก็ตาม หากรวมแรงงานผิดกฎหมาย คาดว่าแรงงานกัมพูชาทั้งหมดในไทยอาจสูงถึงประมาณ 800,000 คน

“แรงงาน 3 สัญชาติไม่ได้แย่งอาชีพคนไทย แต่มาทำงานที่คนไทยไม่ทำ เช่น ภาคก่อสร้าง การประมง ภาคเกษตรกรรม และบางส่วนในภาคอุตสาหกรรม การที่กัมพูชาบอกว่าจะดึงคนกลับง่ายๆ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะแรงงานกลุ่มนี้ส่งเงินกลับประเทศคิดเป็นอัตราขั้นต่ำค่าแรงครึ่งหนึ่งประมาณ 43,600 ล้านบาทต่อปี ซึ่งอาจจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ หากแรงงานกัมพูชากลับไป จะไม่มีงานทำ และจะกลายเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญของกัมพูชาเอง” นายธนิต กล่าว

ดังนั้น ประเด็นแรงงานจึงถูกดึงเข้ามาเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมือง แต่หากมีการกลับจริงก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะเกิดขึ้นข้ามคืนกับแรงงานเกือบล้านคน ซึ่งต้องใช้เวลา และยังต้องดูว่าแรงงานเหล่านั้นจะสมัครใจกลับหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมรับมือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เสียเปรียบ เช่น การเตรียมเปิดรับแรงงานจากประเทศอื่นเข้ามาทดแทนได้ทันทีหากกัมพูชาดึงแรงงานกลับไปจริงๆ จะก็ต้องเตรียมรับแรงงานจากประเทศอื่นเช่นจากเมียนมาเพิ่มเติม 500,000 คน ซึ่งถือว่าเล็กน้อย เพราะเมียนมาต้องการเข้ามาทำงานในไทยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้อง MOU ด้วยซ้ำไป

“ไทยควรพิจารณาแหล่งแรงงานจากประเทศอื่นๆ เช่น บังกลาเทศ ซึ่งมีแรงงานในมาเลเซียเป็นล้านคน รวมถึงเวียดนามและอินเดีย โดยต้องทำการสำรวจความต้องการแรงงานอย่างจริงจังในระยะสั้น เพื่อสร้างกระแสให้ชัดเจนว่าประเทศไทยไม่ได้ง้อกัมพูชา”

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ไทยมีอำนาจต่อรองคือ นักท่องเที่ยวไทย ที่เดินทางเข้ากัมพูชาถึงกว่า 1.8 ล้านคนต่อปี ซึ่งไม่รวมเงินจากธุรกิจสีเทาในคาสิโน มีการนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้กว่า 42,000 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดอันดับ 1 ของกัมพูชาในปัจจุบัน เพราะนักท่องเที่ยวจีนไม่ได้เดินทางไปมากเหมือนเดิม โดยคนไทยที่ไปคาสิโนในกัมพูชามีสัดส่วนถึง 85%

“เราก็ห้ามคนไทยไม่ให้เข้าไปเที่ยวได้ เราควรใช้มาตรการระหว่างประเทศ นอกเหนือจากมิติทางทหารแล้วคือมาตรการทางการค้า ซึ่งสหรัฐฯ ก็ทำตลอดเมื่อมีปัญหาก็ยุติการค้าระหว่างประเทศ นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เราต้องนำมาพิจารณา รวมถึงการทำปฎิบัติการข่าวสาร (IO) ตอบโต้ด้วย” นายธนิต กล่าว

นายธนิต เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเราไม่พึ่งพิงกัมพูชา และพร้อมเปิดรับแรงงานจากประเทศอื่น ๆ และในระยะยาว ต้องเข้มข้นในเรื่องการใช้เทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม เพื่อลดการพึ่งพิงแรงงานคน โดยปัจจุบันภาคเกษตร เช่น การปลูกอ้อย มันสำปะหลัง หรือทุเรียน ก็เริ่มใช้เครื่องจักรมากขึ้น

“ไทยต้องถือโอกาสปรับยุทธศาสตร์ ไม่ใช่มัวแต่พูดถึง S-Curve หรือ New S-Curve ซึ่งไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องไม่ดี แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ มีส่วนน้อยที่ไปได้ ปัจจุบันไทยเหมือนย่ำอยู่กับที่ เช่น รับจ้างผลิต ขายข้าวเป็นตัน ซึ่งเห็นอยู่แล้วว่าสู้กับอินเดียไม่ได้ ดังนั้น ต้องนำมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า เช่น ยางพาราที่ไทยส่งออกเป็นตันแต่กลับเป็นจีนที่ซื้อไปแปรรูปแล้วกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตยางของโลก"

ทั้งนี้ รัฐบาลต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี ซึ่งในระยะ 5-10 ปี จะต้องเริ่มลดการพึ่งพิงแรงงาน โดยรัฐบาลควรมีกองทุนเข้ามาช่วยสนับสนุนภาคเอกชนในการปรับตัว และเชื่อว่าการให้ค่าแรงปรับเพิ่มขึ้นได้จากการที่แรงงานมีทักษะมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามกลไกอุปสงค์และอุปทาน ไม่ใช่การตั้งค่าจ้างขั้นต่ำเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ถ้วนหน้าเหมือนที่เป็นอยู่

นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องทำความเข้าใจกับทูตไทยที่มีอยู่ทั่วโลกถึงกรณีดังกล่าว เพื่อให้ทั่วโลกรับทราบว่าไทยไม่มีความขัดแย้งกับใคร และกระทรวงการต่างประเทศของไทยต้องเก่งขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อสื่อสารสร้างความเข้าใจต่อสถานการณ์ ซึ่งไทยต้องใช้จิตวิทยาเข้าไปเล่นในเกมของผู้นำกัมพูชาว่าไทยไม่ได้เกรงกลัวหากแรงงานกลับ เราก็มีแผนรองรับแรงงานไว้แล้วสร้างความมั่นใจในศักยภาพการรับมือของประเทศไทย

"นอกจากเราจะสร้างความเข้าใจให้ทั่วโลกแล้ว ยังต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนกัมพูชาด้วย ซึ่งที่ผ่านมาคนกัมพูชาก็มีการค้าการขายกับไทยด้วยดี น่าจะมีความเข้าใจกันระดับหนึ่งว่าเหตุการณ์นี้ ประเทศไทยไม่ได้ผลักใสแรงงานกลับประเทศ หรือคิดไม่ดีต่อคนกัมพูชาเลย" นายธนิต กล่าว