‘พาณิชย์’ กางแผนเจรจา FTA ปี 68 เร่งปิดดีล FTA อียู และเกาหลีใต้ ภายในปีนี้

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กางแผนเจรจา FTA ปี 68 เร่งผลักดันเจรจา FTA คงค้างกับอียูและเกาหลีใต้ พร้อมใช้เวที JTC กระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับคู่ค้าเผย 3 เดือนแรกปี 68 การค้าของไทยกับประเทศคู่ FTA มีมูลค่าการค้ารวม 96,905 ล้านดอลลาร์
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยแผนการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยในปี 2568 ว่า กรมจะเร่งเดินหน้าสรุปการเจรจา FTA ที่คงค้างอยู่โดยเร็ว คือ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) และไทย-เกาหลีใต้ ซึ่งการเจรจากับเกาหลีใต้ ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าที่จะสรุปผลภายในปี 2568 ส่วน FTA อาเซียน-แคนาดา จะเร่งผลักดันให้มีความคืบหน้ามากที่สุดในปี 2568 เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2569
ในช่วงปี 2567 - ต้นปี 2568 ไทยได้ลงนาม FTA จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ ไทย-ศรีลังกา ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) และ ไทย-ภูฏาน ซึ่งปัจจุบันไทยและประเทศคู่ FTA อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินกระบวนการภายในประเทศ เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ภายใน ปี 2569
โดยสินค้าและบริการที่จะได้รับประโยชน์ อาทิ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรกลและเครื่องใช้ไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารปรุงแต่ง ผักและผลไม้ การท่องเที่ยว บริการธุรกิจ ก่อสร้าง ขนส่งและโลจิสติกส์ และค้าปลีก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ให้ความสำคัญกับ การเจรจาจัดทำ FTA เพื่อเพิ่มโอกาสและสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย
สำหรับการเจรจายกระดับ FTA ที่มีอยู่ในระดับภูมิภาค ไทยและสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ ได้ลงนามการเจรจายกระดับ FTA อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ และล่าสุดสามารถสรุปผลการเจรจายกระดับ FTA อาเซียน-จีน รวมทั้งความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนได้แล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงเนื้อหาให้มีความทันสมัยและสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
อีกทั้งไทยยังอยู่ระหว่างเจรจาจัดทำ FTA ไทย-เปรู ฉบับสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการเจรจาเปิดเสรีการค้าสินค้าส่วนที่เหลือร้อยละ 30 และการเปิดเสรีภาคบริการ โดยตั้งเป้าหมายที่จะสรุปผลการเจรจาภายในเดือนส.ค. 2568
ส่วนการเจรจาความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework: DEFA) มีความคืบหน้าอย่างมาก ตั้งเป้าให้สรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2568 ซึ่งจะถือเป็นความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาคฉบับแรกของโลก มีขอบเขตครอบคลุมประเด็นด้านดิจิทัลอย่างรอบด้าน
รวมถึงประเด็นท้าทายใหม่ทางการค้าดิจิทัลที่ไทยผลักดันและสามารถหาข้อสรุปได้แล้ว อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีการเงิน (Fin Tech) ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) และการต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ (Anti-Online Scam) เป็นต้น
นางสาวโชติมา กล่าวว่า นอกจากนี้ กรมมีแผนจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระดับรัฐมนตรีกับคู่ค้าของไทย อาทิ สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ และสหราชอาณาจักร เพื่อกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของสองฝ่ายให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
สำหรับการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก FTA กรมจะร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ สภาเกษตรกรแห่งชาติ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ศอ.บต. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เดินหน้าสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการใช้ประโยชน์จาก FTA และชี้ช่องโอกาสในการทำตลาดต่างประเทศ ให้แก่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ผู้ประกอบการSMEs ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย นครพนม ฉะเชิงเทรา ประจวบคีรีขันธ์
ตลอดจนการจัดโครงการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะสินค้าที่สามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ขยายการส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปในพื้นที่ ทั้งผลไม้ ชา กาแฟ โกโก้ ผ้าทองานหัตถกรรม อัญมณีและเครื่องประดับ สู่ตลาดการค้าเสรี ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่เข้มแข็ง
ทั้งนี้ในปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค. 2567) การค้าของไทยกับ 18 ประเทศคู่ค้า FTA มีมูลค่า 360.34พันล้านดอลลาร์ มีสัดส่วน 59.3 % ของการค้ารวมของไทย โดยไทยส่งออกไปประเทศคู่ค้า FTA มูลค่า 154.1 พันล้านดอลลาร์ และไทยนำเข้าจากประเทศคู่ค้า FTA มูลค่า 172.05 พันล้านดอลลาร์
สำหรับในช่วง 3 เดือนแรก (ม.ค. – มี.ค.) ของปี 2568 การค้าของไทยกับประเทศคู่ FTA มีมูลค่าการค้ารวม 96,905 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 60 % ของการค้าของไทยทั้งหมด การส่งออกไปประเทศคู่ FTA รวม 45,144 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 55 % ของการส่งออกทั้งหมด การนำเข้าจากประเทศคู่ FTAรวม 51,761 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 64 % ของการนำเข้าทั้งหมด สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า
ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของไทย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มปัจจัยการผลิตที่ไทยสามารถนำมาในการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มได้ อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และสินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์







