"ภาคภูมิ แสงกนกกุล" ประเมินสัญญาณเตือน วิกฤติรัฐสวัสดิการ

"ภาคภูมิ แสงกนกกุล" ประเมินสัญญาณเตือน วิกฤติรัฐสวัสดิการ

ยุคทองรัฐสวัสดิการ :  ปี 1945-1975 เป็นยุคทองรัฐสวัสดิการยุโรป จากทวีปที่เต็มไปด้วยสงครามและความขัดแย้งก็กลายเป็นช่วงเวลาแห่งสันติสุข เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลใช้จ่ายภาษีเพื่อสวัสดิการสังคม คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้นทุกด้าน เสมือนกับว่าเป็นโลกยูโธเปียที่ไม่มีวันล่มสลาย รัฐบาลต่างเชื่อมั่นว่า รัฐสวัสดิการจะเป็นระบบที่ยั่งยืนภายในมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและดับไป

แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะสมดุลกันและกันเสมอ ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจะหมดสิ้นไป เพราะทุกปัญหาจะมีรัฐสวัสดิการคอยแก้ไข

วิกฤติน้ำมันและเศรษฐกิจตกต่ำ

รัฐเปรียบเสมือนเรือในมหาสมุทรที่เผชิญกับวิกฤติจากภายนอกที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอ เศรษฐกิจในประเทศเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สัญญาณเตือนแรก คือ วิกฤติน้ำมันในทศวรรษ 70 ปรากฏการณ์ดังกล่าวหักล้างความเชื่อว่า

ยิ่งรัฐใช้งบประมาณอัดฉีดเศรษฐกิจก็ยิ่งเพิ่มการจ้างงานและเศรษฐกิจเติบโต แต่ทว่าเมื่อรัฐอัดฉีดเงินมากขึ้นกลับไม่สามารถแก้ปัญหาการว่างงานได้ หนำซ้ำอัตราเงินเฟ้อกลับเพิ่มสูงขึ้นอีก ดุลยภาพในระบบรัฐสวัสดิการที่ต้องการอัตราการจ้างงานสูงก็ถูกทำลายไป

สัญญาณที่สอง ปรากฏเมื่อโครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไป ยุโรปกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ฐานพีระมิดประชากรค่อยๆ แคบลง สังคมสมัยใหม่เปลี่ยนค่านิยมครอบครัวเป็นปัจเจกมากขึ้น อัตราการเกิดค่อยๆ ชะลอตัว ตรงกันข้ามกับประชาชนอายุยืนมากขึ้น

 เนื่องจากเทคโนโลยีการแพทย์และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดุลยภาพในระบบสวัสดิการที่ต้องการสมดุลโครงสร้างประชากรก็พังทลายอีกเช่นกัน

ผลที่ตามมาแสดงออกเป็นตัวเลขขาดทุนของกองทุนประกันสังคม รายได้ของกองทุนลดน้อยลงจากอัตราการว่างงานที่มากขึ้นและเศรษฐกิจหดตัว แต่รายจ่ายสูงขึ้นจากประกันการว่างงาน บำนาญ และค่ารักษาพยาบาล

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ประเทศเดียวแต่ 20 กว่าประเทศในยุโรปเผชิญปัญหาลักษณะเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย การขาดทุนมิใช่เป็นเหตุการณ์ชั่วคราว แต่ทุกกองทุนขาดทุนสะสมเป็นสิบๆปีจนถึงปัจจุบันจนมีมูลค่ามากกว่าร้อยละ 10 จีดีพี

อะไรคือวิกฤติรัฐสวัสดิการ

เมื่อมองอย่างผิวเผินอาจเข้าใจว่าวิกฤติรัฐสวัสดิการเป็นเรื่อง “รัฐพบทางตันด้านการเงิน” ซึ่งถ้าปัญหาเป็นแค่เรื่องนี้จริงๆ ก็คงแก้ได้ง่ายด้วยการเพิ่มภาษีและหารายได้เข้ากองทุนประกันสังคมมากขึ้น

แต่ที่จริงแล้วมันเป็นวิกฤติร้ายแรงเพราะ

1.) รัฐสวัสดิการเป็นตัวจักรที่ยุโรปหวังว่าเป็นตัวแก้วิกฤติเศรษฐกิจ แก้ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น เป็นยูโธเปียในฝันที่จะไม่พังทลายลง แต่กลับกลายเป็นว่าตัวมันเองกลับกลายเป็นวิกฤติเสียเอง 

2.) มันล้มล้างทฤษฎีว่ารัฐยิ่งใช้จ่าย ยิ่งกระตุ้นเศรษฐกิจเติบโตมากเท่านั้น

3.) ความเชื่อที่ว่าเมื่อคนได้รับสวัสดิการดี ผู้อพยพได้รับสวัสดิการพื้นฐานแล้วจะช่วยลดก่อปัญหาสังคม ช่วยให้เขาปรับตัวบูรณาการเข้ากับสังคมยุโรป เพิ่มความสมานฉันท์สังคม ความเชื่อเหล่านี้ก็เริ่มถูกตั้งข้อสงสัยเพราะสังคมกลับแตกแยกเรื่อยๆ

4.) วิกฤติความชอบธรรมของรัฐ ประชาชนเริ่มไม่ไว้วางใจการที่รัฐเข้ามาแทรกแซงสังคมมากเกินไป ใช้นโยบายสวัสดิการสังคมเสมือนเครื่องมือปกครอง ประชาชนยอมแลกเสรีภาพบางส่วนเพื่อหวังว่าจะได้รับความมั่นคงตลอดช่วงชีวิต แต่กลายเป็นว่าไม่มั่นคงหนักขึ้นอีก

กล่าวโดยสรุป วิกฤติรัฐสวัสดิการจึงเป็นวิกฤติที่รัฐขาดความชอบธรรม ขาดประสิทธิภาพการจัดการ ขาดทรัพยากรการเงินการคลังเพื่อทำนโยบายสวัสดิการสังคม

ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ไขได้เอง การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ยุโรปจึงพยายามปฏิรูปสถาบันต่างๆ ในรัฐสวัสดิการ พยายามหาต้นแบบอื่นที่เป็นทางเลือก การเปลี่ยนแปลงจึงไม่ใช่แค่หานโยบายใหม่ๆ เท่านั้น แต่ต้องมีการเปลี่ยนแนวคิด อุดมการณ์ ทฤษฎี ความรู้ใหม่ๆ เข้ามา

ในช่วงทศวรรษ 80 จึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่และทำให้แต่ละประเทศเริ่มมีทิศทางการพัฒนาที่ต่างไป เช่น อังกฤษปฏิรูประบบประกันสังคมในสมัยเธตเชอร์โดยรับอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่เข้ามา

ส่วนกลุ่มสแกนดิเนเวียก็พยายามสร้างรัฐสวัสดิการทางเลือกที่สาม บางประเทศก็เริ่มศึกษาตัวแบบจากเอเชียตะวันออกซึ่งมีการเจริญเติบโตเศรษฐกิจต่อเนื่องโดยค่าใช้จ่ายภาครัฐน้อยและสนับสนุนให้สถาบันครอบครัวรับผิดชอบสวัสดิการสังคม

วิกฤติรัฐสวัสดิการไทย

การศึกษารัฐสวัสดิการประเทศอื่นช่วยให้เราเข้าใจปัญหาและสาเหตุ เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม เมื่อวิกฤติรัฐสวัสดิการเคยเกิดขึ้นที่ยุโรปเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว เราจึงต้องย้อนกลับมาทบทวนตัวเอง ปัจจุบันไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว

อีกทั้งการเติบโตเศรษฐกิจลดน้อยถอยลง สวนทางกับอัตราการว่างงานที่มากขึ้น ประกอบกับนโยบายสวัสดิการสังคมที่เคยพัฒนาเมื่อ 20-30 ปีที่แล้วที่เคยส่งผลคุณูปการอย่างมากมายในอดีตเริ่มประสิทธิภาพลดน้อยถอยลง

เราจำเป็นต้องมาตั้งคำถามอีกครั้งว่าระบบสวัสดิการสังคมยังคงใช้จัดการปัญหาสังคมได้อยู่หรือไม่?

ระบบมันเริ่มส่งสัญญาณปัญหาทางการเงินมาแล้วหรือยัง?

ความไว้วางใจของประชาชนต่อการจัดการสวัสดิการสังคมของรัฐบาลลดลงหรือไม่?

นโยบายสวัสดิการสังคมที่ผ่านมาช่วยให้สังคมเรารักกันสมานฉันท์กันหรือไม่?

คำถามเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือน วิกฤติรัฐสวัสดิการ อาจเกิดขึ้นกับไทยในอนาคตอันใกล้