ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเสี่ยงสู่ภาวะถดถอย หลังลง 4 เดือนติด

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเสี่ยงสู่ภาวะถดถอย หลังลง 4 เดือนติด

ม.หอการค้าไทย  เผย ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค. ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุดในรอบ 27 เดือน เสี่ยงสู่ภาวะถดถอย เหตุ คนกังวลภาษีทรัมป์ เศรษฐกิจไทยชะลอตัว จับตาเจรจาภาษีทรัมป์ใกล้เดทไลน์ 7 ก.ค.ยังไม่มีความชัดเจน หวั่นโลกเข้าสู่โหมดโดนภาษีตอบโต้

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า จากการสำรวจตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศจำนวน 2,242 คน พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนพ.ค.ปรับตัวลดลงจากระดับ 55.4 เป็น 54.2 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 27 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566  เป็นต้นมา

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 48.1  ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ อยู่ที่51.9    และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 62.7    ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือน เดือน พ.ค. ที่ปรับตัวลดลงมาจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 และรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว 2 ครั้งรวม 0.5%  โดยแต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้าและการเข้าถึงสินเชื่อลำบาก 

“ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ทำให้มองว่า อยู่ในช่วงขาลงและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยในอนาคตที่ยังไม่สดใสและไม่โดดเด่น สะท้อนว่าดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ง่าย”นายธนวรรธน์ กล่าว

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า  จุดสำคัญมากๆในเดือนนี้ที่สะท้อนให้เห็นคือ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ดัชนีอื่นก็ลดต่ำลงในรอบ 26เดือนและ27 เดือน หรือ 2 ปี ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคมองว่าเศรษฐกิจไม่ดี และไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว จากความกังวลสงครามการค้า แม้จะมีสัญญาณจากนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  จะบอกว่าสหรัฐฯ นัดไทยเจรจาแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า ไทยจะเจรจาได้สำเร็จทันในช่วงระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันที่จะครบกำหนดในวันที่ 7 ก.ค.หรือไม่ และยังไม่เห็นประเทศใดเจรจาสำเร็จแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแม้กระทั่งจีน

 ดังนั้นโลกจะถูกเข้าโหมดโดน Reciprocal tariff ซึ่งหมายถึงความเสียหายกับระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งมูลค่าการส่งออก และการท่องเที่ยว ครอบคลุมถึงประมาณ 1.5-2 แสนล้านบาท

นอกจากความกังวลสงครามการค้าแล้ว ผู้บริโภคเริ่มเพิ่มความกังวลเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อที่ยากขึ้น รวมทั้งปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองและการที่กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์เงินเฟ้อไตรมาส 2 ปีนี้มีโอกาสจะติดลบ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นความสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดทางเทคนิค แม้การที่เงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ติดลบจะมีสาเหตุหลักจากราคาพลังงาน และสินค้าในหมวดอาหารสดที่ปรับตัวลดลงก็ตาม

แต่ในส่วนของเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ก็อยู่ในระดับต่ำเช่นกัน ซึ่งชี้ให้เห็นกำลังซื้อที่แผ่วบาง

อีกทั้งผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในเดือนพ.ค. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 48.0ลดลงต่อเนื่องในเดือนที่ 3 โดยภาคธุรกิจกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ผลกระทบภาษีสหรัฐ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า โดยผู้ประกอบการต้องการให้รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อกำลังซื้อประชาชน และออกมาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องของภาคธุรกิจ การให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการ สอดคล้องกับประชาชนที่บอกว่า เข้าสินเชื่อได้น้อย ความไม่มั่นใจในการเมือง ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะต้องยอมรับว่ามีผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภครวมไปถึงภาคเอกชน  

ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปีนี้ จะขยายตัวได้ราว 1% กว่า ส่งผลให้ครึ่งปีแรก เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ราว 2% และหากไม่สามารถประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังให้โตถึง 2% ได้ ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 68 โตต่ำกว่า 2% แน่นอน ซึ่งภาพรวมแล้ว ยังประเมินว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในช่วง 1.5-2% แต่ก็มีโอกาสที่จะโตต่ำกว่าระดับนี้ได้ หากสุดท้ายแล้วสหรัฐ บังคับใช้มาตรการ Reciprocal tariff กับทุกประเทศอย่างเข้มข้น

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการ คือ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะงบ 1.75 แสนล้านบาท จะต้องมีการออกมาตรการมาให้ได้โดยเร็วเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาส  3 และ 4 และมีมาตรการทางการเงินให้มีการผ่อนปรนมากขึ้น มีการลดดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึง เร่งกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ยังเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทีมีเป้าหมายปีนี้ให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ 35 ล้านคน  โดยเฉพาะการดึงนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปกลับมา

นอกจากนี้ยังต้องให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์การการปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งลงทุนในพื้นที่เพื่อให้เม็ดเงินลงพื้นที่

อย่างไรก็ตามคงต้องจับตาสถานการณ์การเมืองในครึ่งปีหลังที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 หากเกิดอุบัติเหตุยุบสภาก็จะทำให้การจัดทำร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯล่าช้าออกไป 6-9 เดือน รวมทั้งเม็ดเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.75 ล้านบาทก็จะหายไปเพราะรัฐบาลรักษาการจะใช้เม็ดเงินไม่ได้