'เอกนัฏ' ชี้ไทยต้องอยู่เป็น สู้การค้าโลก ชูอุตสาหกรรมสีเขียวดัน GDP โต

“เอกนัฏฐ์” ชี้ประเทศไทยต้อง "อยู่เป็น" เพื่อรับมือความไม่แน่นอนการค้าโลก ชูอุตสาหกรรมเขียว-ลด PM2.5 ดัน GDP โต
KEY
POINTS
- นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ยังคงผันผวน และประเทศมหาอำนาจบางแห่งฉีกข้อตกลงการค้าหรือละเลยนโยบาย Net Zero ทำให้การค้าโลกคาดเดาได้ยาก
- ไทยจำเป็นต้องเสริมสร้างฐานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคการส่งออก ให้แข็งแกร่งและสามารถยืนหยัดได้ในทุกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาได้ยาก
- หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่สูง จำกัดความสามารถของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
- สิ่งสำคัญคือต้องดึงดูดเงินลงทุนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม และสร้างมูลค่าที่แท้จริง พร้อมผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเพื่อผลิตสินค้าส่งออกสู่ตลาดโลกที่ความต้องการและกติกาเปลี่ยนแปลงไป
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ถึงสถานการณ์การค้าโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนโยบายภาษีการค้าของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายเอกนัฏ ยอมรับว่าในขณะที่นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และประเทศมหาอำนาจบางแห่งยังคงฉีกข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงไม่สนใจนโยบาย Net Zero ส่งผลให้ภาคการค้าระหว่างประเทศเต็มไปด้วยปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยากยิ่ง
"บนความไม่แน่นอนนี้ ไทยต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคการส่งออก ให้สามารถยืนหยัดได้ในทุกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาได้ยาก" เอกนัฏ กล่าวพร้อมเน้นย้ำถึง "บุคลิกของคนไทยที่อยู่เป็น" ซึ่งสะท้อนจากประวัติศาสตร์การรักษาเอกราชผ่านทั้งสงครามจริงและสงครามการค้า
ปลดล็อกข้อจำกัดเศรษฐกิจด้วยอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ แม้ประเทศไทยจะเผชิญกับความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งจำกัดความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายภาครัฐ และทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้เต็มที่ในภาวะหนี้ครัวเรือนสูงเช่นนี้
"ดังนั้น สิ่งที่เราต้องพิจารณาคือ จะดึงดูดเงินลงทุนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมได้อย่างไร และเมื่อเงินลงทุนเข้ามาแล้ว จะสร้างมูลค่าที่แท้จริง พร้อมผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเพื่อผลิตสินค้าส่งออกสู่ตลาดโลกที่ความต้องการและกติกาเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร"
อุตสาหกรรมใหม่ไม่ใช่แค่สวยแต่รูปแต่ต้องจูบหอม
นายเอกนัฏ ได้เผยวิสัยทัศน์สำหรับการปฏิรูปภาคอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งตั้งเป้าที่จะพลิกโฉมประเทศโดยรวม โดยอาศัยกลไกขับเคลื่อนหลักทางเศรษฐศาสตร์ รวมถึงภาคการผลิตที่เชื่อมโยงกับการลงทุนในอุตสาหกรรมและเครื่องจักรที่ส่งออกได้ มั่นใจว่า "เราไปได้จริง ไม่ใช่สวยแต่รูปจูบไม่หอม" ด้วยการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ พร้อมผลักดันกฎหมายใหม่ที่เข้มงวดเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน
มาตรการสำคัญในการปฏิรูป
แก้ปัญหา PM2.5 หนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือการลด PM2.5 โดยการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ และใช้กฎหมายใหม่ที่เข้มงวดเพื่อส่งเสริมแนวทาง พร้อมจัดตั้ง กองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างจัดตั้งกองทุนฯ
ปลดล็อกกฎระเบียบ มีการปลดล็อกประกาศต่างๆ เพื่อให้การขอใบอนุญาตตั้งโรงงาน (รง.4) ในบางภาคส่วนทำได้ง่ายขึ้น เน้นการทำงานอย่างมีสติสัมปชัญญะ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินแก้ปัญหาทุกอย่าง
การค้าเสรีที่เป็นธรรม สนับสนุนการค้าเสรีที่เป็นธรรม ไม่ยอมให้มีการหั่นราคาสินค้าด้อยคุณภาพเข้ามาบิดเบือนตลาด และจะต้องสร้างความเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน
สนับสนุน SME ส่งเสริมภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะ SME ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมมีต้นทุน แต่ก็ต้องมีการลงทุนเพื่ออนาคต
สู่พลังงานสะอาด เปลี่ยนของเสียเป็นพลังงานหมุนเวียน
นายเอกนัฏ ได้ยกตัวอย่างโครงการที่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์แล้ว โดยเฉพาะในภาคพลังงานและเกษตรกรรม เพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยและพม่า และตอบโจทย์ความต้องการใช้พลังงานสะอาดของธุรกิจดิจิทัลและ AI ที่เพิ่มขึ้น (เช่น Amazon Web Services)
ชีวมวลจากอ้อย แทนที่จะเผาใบอ้อยซึ่งก่อให้เกิด PM2.5 และเท่ากับ "เผาเงิน" ใบอ้อยเหล่านี้สามารถนำไปส่งโรงงานเพื่อผลิตไฟฟ้าได้ถึง 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ และสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรจากการขายใบอ้อย หากมีการให้ "พรีเมียม" เพิ่มอีก 50 สตางค์ต่อหน่วย เกษตรกรจะมีรายได้ใกล้เคียงกับการนำเข้า โดยสามารถสร้างเงินเข้ากองทุนได้ปีละ 4,000-7,000 ล้านบาท หากทำได้ 1,000 เมกะวัตต์
ลดการเผาอ้อย หากโครงการนี้สำเร็จ จะช่วยลดการเผาอ้อยในที่โล่งได้ถึง 30% หรือประมาณ 1.5 ล้านไร่ ลดปัญหา PM2.5 และสร้าง "น้ำตาลสีเขียว" ที่มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งหากทุกฝ่ายร่วมใจกันจะลดการเจ็บป่วยของประชาชน และสร้างรายได้จากการทำความดี







