ส.อ.ท. ชี้ 'ทรัมป์' เขย่าการค้าโลก โอกาสทอง FTA 'ไทย-EU' สวนกระแสภาษีสหรัฐฯ

"ส.อ.ท." ระบุนโยบาย "โดนัล์ ทรัมป์" เขย่าการค้าโลก! อาจสร้างโอกาสทอง FTA "ไทย-EU" สวนกระแสศึกภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
KEY
POINTS
- การเจรจากับ EU ล่าช้า อาจปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU สูงถึง 50% ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนสูง และทำให้ EU ต้องพยายามลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
- ส.อ.ท. มองเป็น "โอกาสทองของประเทศไทย" ในการเร่งเจรจา FTA กับ EU ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ เพื่อแสวงหาตลาดใหม่ และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว
- แนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง จึงขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ เป็นสำคัญ หากเจรจาลดภาษีได้มาก เศรษฐกิจก็ยังเติบโตได้ อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าโลกที่กำลังเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะจากนโยบายของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิด โดยชี้ว่าท่ามกลางความท้าทายนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยในการปรับกลยุทธ์การค้า เพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว
ศึกภาษีสหรัฐฯ-EU สัญญาณความไม่แน่นอน
นายเกรียงไกร กล่าวว่า นโยบายของทรัมป์สร้างความผันผวนอย่างมาก โดยเฉพาะกรณีที่สหรัฐฯ อาจปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป (EU) สูงถึง 50% ซึ่งแม้จะมีการเลื่อนกำหนดการบังคับใช้จาก 1 มิ.ย. เป็น 9 ก.ค. แต่ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่แน่นอนที่สูงในเวทีการค้าโลก สาเหตุที่ทรัมป์มองว่าการเจรจากับ EU ล่าช้า เป็นเพราะสหภาพยุโรปประกอบด้วย 27 ประเทศ ที่มีข้อแลกเปลี่ยนและความคิดเห็นที่หลากหลาย ทำให้การเจรจาต้องใช้เวลา ด้วยสถานการณ์นี้ EU จึงต้องพยายามปรับตัวและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในระยะยาว แม้ในระยะสั้นจะยังคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
โอกาสทองของไทย เร่ง FTA กับ EU
อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท. มองว่าวิกฤตินี้คือ "โอกาสทองของประเทศไทย" โดย นายเกรียงไกร ย้ำว่า การเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับ EU มีความคืบหน้าอย่างมาก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ให้คำมั่นว่าจะพยายามทำให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะแสวงหาตลาดใหม่ๆ เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ท่ามกลางความผันผวนที่เพิ่มขึ้นนี้ ทุกประเทศกำลังแสวงหาพันธมิตรและผนึกกำลังเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ที่เคยเป็นผู้บริโภคและผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของโลกมานานหลายทศวรรษ
หากเก็บ 36% ไทย GDP อาจต่ำกว่า 1%
นอกจากประเด็นสหรัฐฯ-EU แล้ว ส.อ.ท. ยังคงติดตามสถานการณ์การเจรจาเรื่องภาษีนำเข้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนหลังจากที่สหรัฐฯ ขยายเวลาบังคับใช้มาตรการออกไป 90 วัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะขยายการอบเวลาอีก อาจส่งผลให้นักลงทุนยังต้องรอดูสถานการณ์ไม่กล้าที่จะลงทุนในช่วงนี้ ส.อ.ท. ประเมินสถานการณ์ว่า
หากสหรัฐฯ คงอัตราภาษีที่ 10% การส่งออกของไทยอาจเติบโต 0.3-0.9% และ GDP อยู่ที่ 1.4-1.9% แต่หากสถานการณ์เลวร้ายที่สุด สหรัฐฯ เก็บภาษีที่ 36% การส่งออกอาจติดลบถึง 2% และ GDP อาจต่ำกว่า 1%
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังคงผันผวน เนื่องจากมีผู้นำเข้ารายใหญ่ในสหรัฐฯ ยื่นโต้แย้งคำสั่งเก็บภาษีดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งว่าการเก็บภาษีไม่ถูกต้อง แต่ศาลอุทธรณ์ได้สั่งให้คงการเก็บภาษีไว้ก่อน ทำให้ต้องรอผลการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รวมถึงการเปรียบเทียบผลการเจรจากับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เพื่อประเมินเศรษฐกิจอีกครั้ง
หนุน "ซื้อของไทย-ข้อมูล Real-time"
นายเกรียงไกร แนะนำว่า ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับกฎระเบียบใหม่ที่อาจเกิดขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือการ เร่งหาตลาดใหม่เพื่อลดความเสี่ยง จากการพึ่งพาตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ด้านภาครัฐเองก็มีบทบาทสำคัญในการใช้นโยบาย "ซื้อของไทย ใช้ของไทย" เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME ให้ธุรกิจของคนไทยอยู่รอด
ส.อ.ท. ได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการประชุมกับทูตการค้าทั่วโลก เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา อินเดีย และเอเชียใต้ โดยสิ่งสำคัญที่ภาคเอกชนต้องการคือการ บูรณาการข้อมูลด้านการตลาดจากทูตพาณิชย์ทั่วโลกแบบ Real-time เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการร่วมมือกันในการเจาะตลาดใหม่ๆ
"ภาษี-ท่องเที่ยว" ตัวแปรสำคัญ GDP ไทย
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง นายเกรียงไกร ชี้ว่า จะขึ้นอยู่กับผลการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ เป็นสำคัญ หากไทยสามารถเจรจาต่อรองลดภาษีจาก 36% เหลือ 10% ได้ เศรษฐกิจไทยก็จะยังคงเติบโตได้ แต่หากลดได้ไม่มาก หรือประเทศคู่แข่งลดได้มากกว่าไทย ก็อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างมาก
นอกจากนี้ สถานการณ์การท่องเที่ยวก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก แต่ในช่วง 4 เดือนแรกกลับลดลงเกือบ 30% จากข่าวลือด้านลบและความไม่ปลอดภัยในประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหา สร้างความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เพื่อเรียกความเชื่อมั่น อย่างไรก็ตาม แม้นักท่องเที่ยวจีนลดลง แต่กลับมีนักท่องเที่ยวจากยุโรป ตะวันออกกลาง และอิสราเอล เข้ามาทดแทนมากขึ้น และมีกำลังซื้อสูง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการท่องเที่ยวไทยในช่วงนี้







