สงครามการค้า ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา แก้วิกฤติความเชื่อมั่น?

สงครามการค้า ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา แก้วิกฤติความเชื่อมั่น?

จับกระแส เกาะติดประเด็นร้อน สงครามการค้า ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา แก้วิกฤติความเชื่อมั่น?

ไทยเจอวิกฤติซ้อนวิกฤติ นับตั้งแต่เกิด “สงครามการค้า” แบ่งฝักแบ่งฝ่ายในใลก จากกรณี “ภาษีทรัมป์” ตามที่เคยบอกเล่าเก้าสิบมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็น “ปัจจัยภายนอก” ที่ยังเป็นลูกผีลูกคนว่าไทยจะเจรจากับสหรัฐอเมริกาเรื่องกำแพงภาษีจะออกมาแบบไหน จะเป็นแบบ Win-Win หรือแบบประเทศไทยต้องยอมเจ็บก็ยังไม่ชัดต้องลุ้นกันอยู่

ขณะเดียวกัน “ปัจจัยภายใน” ความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล ว่าด้วยเรื่องร้อนพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ว่า “สงครามระหว่างประเทศ” ยังไม่เกิดขึ้น แต่การระดมสรรพกำลังทหารนับหมื่นและยุทโธปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินรบ รถถัง ยานเกราะ และปืนใหญ่ เตรียมพร้อมประชิดชายแดน ย่อมสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงต่อสายตานานาประเทศยิ่งนัก

กล่าวคือ ทั้งปัจจัยภายนอกและภายในกำลังรุมเร้ารัฐบาล ทำให้ความเชื่อมั่นไม่สู้ดีว่าจะรับมือได้ อีกทั้งยังโดนขย่มภายในรัฐบาลกรณี การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เปิดศึกยื้อยุดแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีกันแบบไม่อายสายตาประชาชน

ท่ามกลางความกังวลว่า วิกฤติศรัทธาของประชาชนกำลังเพิ่มขึ้น นับเป็นบททดสอบสำคัญว่า “รัฐบาลแพทองธาร” จะประคับประคองสถานการณ์ความขัดแย้ง-ปัญหาเศรษฐกิจไม่ให้ลุกลาม จะถอนฟืนออกจากกองไฟที่สุมอกประชาชนได้ดีหรือไม่

ถึงกระนั้น ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อมั่นรัฐบาลที่มาจากประชาชนเลือกตั้ง มาตามระบบประชาธิปไตย หรือฝักใฝ่อำนาจนอกระบบ แต่อยากชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ขณะนี้สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจการบริหารของรัฐบาล จนเปิดโอกาสให้ทหารยึดอำนาจ ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติถอยหลัง ซึ่งมีบทเรียนให้เรียนรู้ไม่ควรซ้ำซากอยู่ในระบบอำนาจนิยม

ขณะที่นโยบายของรัฐบาล ในเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และท่องเที่ยว ก็ยังจับต้องเป็นผลงานแบบเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ ซึ่งประเมินแล้วผลกระทบสงครามการค้าทำให้การแก้ปัญหายากขึ้น และคาดการณ์ปัญหาและรับมือยังไม่ดีพอ  

ในสถานการณ์แบบนี้ ภาคธุรกิจและประชาชน จึงขาดความเชื่อมั่นทำให้กำลังซื้อหดกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจไม่กล้าลงทุนลงแรง กลัวเสียเปล่าไม่ก่อให้เกิดรายได้

ถามว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อประชาชนไม่เชื่อมั่นรัฐบาลก็ต้องปรับ ครม. คัดสรรคนมาทำงานให้เข้าตาประชาชน แก้ปัญหาชายแดนโดยเร็ว เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และปราบปรามการทุจริต

อีกทั้ง การใช้พลังสร้างสรรค์เรื่อง ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า ความขัดแย้งจะแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ย่อมไม่เกิดความร่วมมือและผลประโยชน์ ถ้ามองกลับกันการใช้พลังที่อ่อนนุ่มอย่างซอฟต์พาวเวอร์ เปิดโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนย่อมปรับความคิดเห็นต่างหาความคิดที่ตรงกัน อาจไม่แก้ปัญหาความขัดแย้งในระดับประชาชนได้ในทันที แต่ช่วยบรรเทาความขัดข้องใจลงบ้าง ก็เหมือนการเปิดเวทีเจรจาพูดคุยเพื่อไม่ให้นำไปสู่ความรุนแรง


แน่นอนว่า ความเชื่อมั่นไม่ได้สร้างง่ายได้เร็ววัน เช่นเดียวกันก็เหมือนที่ว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว” ซึ่งต้องเร่งทำและต่อเนื่องเพื่อแก้วิกฤติศรัทธา โดยการใช้กลไกรัฐและองค์กรภาคประชาชนทำงานกิจกรรมในระดับพื้นที่ อย่างเช่นที่ทำอยู่ อย่าง งานของดีระดับอำเภอ อีเว้นท์พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวระดับจังหวัด และอื่นๆ เป็นต้น


อย่างไรก็ดี มิใช่ว่ามองแต่แบบโลกสวย ทว่าความขัดแย้งไม่จำเป็นต้องคุยแต่ปัญหาให้เกิดความรุนแรง ควรใจเย็นไตร่ตรองหาทางออกด้วยสันติวิธีและซอฟต์พาวเวอร์ จึงจะได้ประโยชน์สุขสงบ ขอย้ำว่า “ชนะโดยไม่ต้องรบ ถือว่าเป็นวิธีอันวิเศษยิ่ง” เพราะสงครามมีแต่ความสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าและสงครามสู้รบก็ตาม

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง :

บทความที่เกี่ยวข้องกับ Soft Power ทั้งหมด

บทความของ นิติราษฎร์ บุญโย ทั้งหมด