เปิดเบื้องหลังแผนสกัดสวมสินค้าไทย สหรัฐเข้มเพิ่มรายการเฝ้าระวัง

กรมการค้าต่างประเทศ หารือสหรัฐเร่งสรุปสินค้าเฝ้าระวังสวมสิทธ์ 65 รายการ เพราะพิกัดบางรายการสินค้าไม่เหมือนไทย ก่อนประกาศเร็วๆนี้ เผย 5 เดือนแรกปี 68 ขอใบ c/o ส่งออกสหรัฐมีจำนวน 1.7 หมื่นฉบับ
KEY
POINTS
Key Point
- พาณิชย์ได้ตั้งคณะเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิค เจรจาผู้แทนการค้าสหรัฐ
- 1 ใน 5 ข้อเสนอไทยเจรจาภาษีทรัมป์ คือ การแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐ
- กรมการค้าต่างประเทศ มีหน้าที่โดยตรงในการออกหนังสือการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O)
- รายการสินค้าที่เฝ้าระวังไปสหรัฐที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนดไว้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2565 ปัจจุบันปี 2567 มีสินค้า 49 รายการ 194 พิกัด
- กรมการค้าต่างประเทศ หารือกรมศุลกากรสหรัฐ เพิ่มรายการสินค้าเสี่ยงสูงในการแอบอ้างถิ่นกำเนิดจากเดิม 49 รายการเพิ่มอีก 16 รายการ รวมเป็น 65 รายการ กว่า 200 พิกัดสินค้า
- การออกใบ C/O เฉลี่ยปีละ 1.3 ล้านฉบับ แต่สินค้าเฝ้าระวังไปสหรัฐที่ต้องขอมี 17,000 ฉบับ
การเจรจาอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ระหว่างไทยและสหรัฐมีความคืบหน้าเมื่อสหรัฐตอบรับเข้าสู่กระบวนการเจรจา โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งคณะเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิค ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสเพื่อเจรจาผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ โดยสหรัฐประกาศจัดเก็บภาษีสินค้าไทยเพิ่มขึ้น 36%
ขณะนี้เหลือระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน จะครบกำหนดที่สหรัฐผ่อนผันการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ภายใน 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 8 ก.ค.2568 จึงใช้วิธีเจรจาผ่านระบบออนไลน์
ที่ผ่านมาไทยได้ยื่นข้อเสนอให้สหรัฐรวม 5 ประเด็น โดยครบคลุมการบังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าเคร่งครัดผ่านการบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า “Made in Thailand” โดยสินค้าจากประเทศที่ 3 ส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐ
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจ” ถึงแผนการป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย โดยเห็นว่า กำลังเป็นปัญหาที่น่าห่วงอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะช่วงที่นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กลับเข้าเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง ซึ่งนายทรัมป์ให้ความสำคัญกับสินค้าที่นำเข้าสหรัฐอาจมีการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย
ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ มีหน้าที่โดยตรงในการออกหนังสือการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ซึ่งการออกใบรับรอง Form C/O ให้กับผู้ประกอบการส่งออกจะต้องตรวจสอบว่าสินค้านี้ได้ถิ่นกำเนิดสินค้าตามกฏของแต่ละประเทศที่ได้ตกลงกันไว้หรือไม่
รวมทั้งที่ผ่านมาการขอ C/O ใช้สำหรับการขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) หรือการขอใช้สิทธิภาษีทางศุลกากร (GSP) ของประเทศที่ไทยทำความตกลงไว้
ส่วนไทยและสหรัฐยังไม่มีข้อตกลง FTA และสหรัฐไม่มีระเบียบชัดเจนว่าต้องมีใบรับรอง Form C/O แต่จุดนี้ต้องเริ่มใช้ใบรับรอง Form C/O เพื่อรับรองถิ่นกำเนิดสินค้ามาตั้งแต่สมัยทรัมป์ 1.0 มีการเฝ้าระวังสินค้าที่นำเข้าสหรัฐ
ทั้งนี้ มีบางกลุ่มสินค้าพิเศษที่สหรัฐเห็นว่าทะลักเข้าไปในสหรัฐสูงจากการส่งออกสินค้าของไทย จึงตั้งข้อสงสัยว่าเป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นในไทยจริงหรือไม่ ดังนั้นกรมการค้าต่างประเทศต้องตรวจสอบว่าสินค้าที่ส่งออกนั้นเป็นสินค้าที่มีต้นทุนผลิตจากไทยเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบการนำเข้าสินค้าของสหรัฐ
สำหรับระเบียบของสหรัฐที่เกี่ยวข้องกับถิ่นกำเนิดสินค้าจะมีพิจารณาอยู่ 2 เรื่อง คือ
1.การใช้วัตถุดิบจากประเทศไทย 100 % ในการผลิตสินค้า
2.กระบวนการผลิตที่มีวัตุดิบไทยบางส่วนและต่างประเทศบางส่วนมาผลิตสินค้า ซึ่งหากผู้ส่งออกจะส่งสินค้าไปสหรัฐและในกรณีประเทศนำเข้าต้องการใบ C/O ก็ต้องมาขอจากกรมการค้าต่างประเทศ
สหรัฐเพิ่มรายการสินค้าเฝ้าระวัง
นางอารดา กล่าวว่า สำหรับรายการสินค้าที่เฝ้าระวังไปสหรัฐที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนดไว้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2565 โดยร่วมกับศุลกากรสหรัฐ โดยกลุ่มแรกมี 34 รายการสินค้า ต่อมาปี 2566 เพิ่มเป็น 39 รายการ และปี 2567 เป็น 49 รายการ 194 พิกัด ซึ่งผู้ส่งออกต้องยื่นขอตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อรับหนังสือรับรอง Form C/O ทั่วไป
ต่อมาในยุคทรัมป์ 2.0 มีนโยบายการค้าเข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะนโยบายการเก็บภาษีเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐกับประเทศคู่ค้า ซึ่งประเด็นหนึ่งที่สหรัฐให้ความสำคัญ คือ การแอบอ้างถิ่นกำเนิดเพื่อส่งออกไปสหรัฐ เพราะหากพิสูจน์ไม่ได้ว่าสินค้ามาจากประเทศผู้ส่งออกจริง ทางสหรัฐจะไม่รับการเจรจาภาษี
ดังนั้น จึงเป็นที่มาที่ไทยนำการแก้ปัญหาสวมสิทธิสินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐเป็น 1 ใน 5 ข้อเสนอของไทยที่ยื่นให้กับสหรัฐ ในการเปิดการเจรจาภาษี ซึ่งแม้จะไม่ระบุในมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Measures: NTMs)
รวมทั้งกรมการค้าต่างประเทศมีส่วนร่วมนำเสนอข้อมูลส่วนนี้ให้ทีมเจรจา และเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการหารือร่วมกับ US Custom and Border Protection (CBP) เพื่อวางหลักเกณฑ์ใหม่ในการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า พร้อมทั้งเฝ้าระวังการสวมสินค้าไทย
ล่าสุดกรมการค้าต่างประเทศหารือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form C/O ทั่วไป เพื่อติดตามดูว่ามีสินค้าใดเพิ่มเติมจากรายการสินค้าเฝ้าระวังเดิม
ทั้งนี้พิจารณาจากสถิติการการนำเข้าของสหรัฐว่าสินค้ารายการใดกำลังจะถูกใช้มาตรการสหรัฐไม่ว่าจะเป็นมาตรา 232 , 301 หรือมาตรการอื่นที่อาจนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นแล้วมาสวมเป็นสินค้าไทยก่อนส่งออกไปสหรัฐ
“พาณิชย์”รวบอำนาจคุม Form C/O
นอกจากนี้มีความเห็นร่วมกันให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานเดียวออกหนังสือรับรอง Form C/O ทั่วไป สำหรับรายการสินค้าเฝ้าระวังส่งออกไปสหรัฐ 49 รายการ และได้อบรมเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า การขอหนังสือรับรอง การตรวจสอบ การออกหนังสือรับรอง การพิสูจน์ความถูกต้อง และการขอหนังสือรับรองสำหรับส่งออกไปสหรัฐให้ผู้ส่งออกตรวจสอบเพื่อให้การส่งออกถูกต้อง
“ข้อมูลที่ได้จากกรมศุลกากรสหรัฐ หอการค้า ส.อ.ท.และกรมศุลกากรไทย กำลังพิจารณารายการสินค้าเสี่ยงสูงในการแอบอ้างถิ่นกำเนิดจากเดิม 49 รายการเพิ่มอีก 16 รายการ รวมเป็น 65 รายการ กว่า 200 พิกัดสินค้า"
ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศได้หารือสหรัฐใกล้ชิดเพื่อให้ชัดเจนขึ้นและข้อมูลตรงกัน โดยเฉพาะรายละเอียดพิกัดศุลกากรสินค้าที่สหรัฐติดตามและเฝ้าระวัง เพราะพิกัดภาษีศุลกากรบางรายการสินค้าไม่เหมือนกัน ซึ่งได้ส่งข้อมูลรายการสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงให้สหรัฐพิจารณาว่ามีรายการใดต้องอยู่ในบัญชีรายสินค้าเฝ้าระวัง ซึ่งระหว่างนี้รอข้อมูลจากสหรัฐก่อนออกประกาศอย่างเป็นทางการ
ไม่ต้องขอใบรับรองสินค้าส่งออกทุกรายการ
นางอารดา กล่าวว่า สหรัฐให้การยอมรับกับแนวทางการทำงานของไทย โดยเฉพาะการออกใบรับรอง C/O ของไทยถือว่าได้รับการการันตีว่าไม่ใช่สินค้าสวมสิทธิ์ แต่ต้องทำความเข้าใจว่าสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐไม่ใช้ทุกรายการที่ต้องขอใบรับรอง เพราะขึ้นกับประเทศผู้นำเข้าต้องการหรือไม่ ยกเว้นสินค้าที่เฝ้าระวังที่ต้องผ่านการตรวจรับรองถิ่นกำเนิด
นอกจากนี้ การตรวจสอบสินค้าที่สงสัยว่าถูกสวมถิ่นกำเนิดสินค้าตั้งแต่ปี 2562-2565 พบสินค้าแอบอ้าง ได้แก่ น้ำผึ้ง สปริงส์ในฟูก ฟูกที่นอน ล้อเหล็กสำหรับรถบรรทุก แผงโซล่าเซลล์ จากนั้นได้ตรวจสอบสินค้าต่อเนื่องพบการสวมสินค้าลดลงแต่ยังมีบ้าง เช่น ผ้าพิมพ์ลายดิจิตอล ท่อสำหรับอุตสาหกรรมน้ำมัน
ขณะที่ช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนค่อนข้างสูง ซึ่งอาจเป็นเพราะนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐ โดยสินค้าที่นำเข้าสูง ประกอบด้วย เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ สมาร์ทโฟน รถยนต์โดยสารประเภทยานยนต์ไฟฟ้า วงจรพิมพ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ซึ่งรายการสินค้าเหล่านี้ไม่อยู่ในรายการเฝ้าระวังแต่มีความเสี่ยงสูงจะเป็นสินค้าเฝ้าระวัง
สำหรับการออกใบ C/O เฉลี่ยปีละ 1.3 ล้านฉบับ แต่สินค้าเฝ้าระวังไปสหรัฐที่ต้องขอมี 17,000 ฉบับ (5 เดือนแรกปี 2567) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เช่น แผงโซล่าเซลล์ ล้อรถยนต์ อะลูมิเนียมฟอยล์ โซล่าร์เซลล์ (ไม่ได้ประกอบเป็นแผง) และเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้
“ฝากผู้ประกอบการว่าผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ทำธุรกิจโปร่งใสก็ต้องตามกฎระเบียบจะเป็นหลักสำคัญและเป็นหลักพิงให้ผู้ประกอบการ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามกรมฯ เพื่อไม่ตกขบวนการส่งออก ซึ่งกรมฯ จะเดินหน้าทำเรื่องนี้ต่อเนื่องไม่ว่าจะมีการเก็บภาษีตอบโต้หรือไม่ การเฝ้าระวังการสวมสินค้าไทยเป็นเรื่องดีเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และรักษามูลค่าเศรษฐกิจ” นางอารดา กล่าว







