ไทยตั้งทีมเจรจาทางเทคนิคเริ่มนับหนึ่งเจรจาภาษีสหรัฐ

ไทยตั้งทีมเจรจาทางเทคนิคเริ่มนับหนึ่งเจรจาภาษีสหรัฐ

ไทย ตั้งทีมเจรจาทางเทคนิคภาษีทรัมป์หลังสหรัฐตอบรับการเจรจาไทย คาดเจรจาเสร็จทันกรอบเวลา 90 วัน ด้านหอการค้าไทย รับ สัญญาณดี เร่งเจรจาในกรอบข้อเสนอ 5 ข้อ   คาดไทยได้ลดอัตราเก็บภาษีจากเดิมที่สหรัฐประกาศไทยถูกเก็บ 36 %

รายงานข่าวจาก กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภายหลังที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับหนังสือตอบรับอย่างเป็นทางการจากสหรัฐอเมริกาใน การเจรจาภาษีตอบโต้สหรัฐฯ เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา ขั้นตอนหลังจากนี้จะมีการตั้งเจ้าหน้าที่เจรจาด้านเทคนิคซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสที่เกี่ยวข้องเพื่อเจรจาผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ  และการทำข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูลในการเจรจา  เมื่อได้ทีมเจรจาด้านเทคนิคแล้ว จะมีการประชุมร่วมกันผ่านระบบ Video Conference

เมื่อถามถึงสาเหตุว่า ทำไมคณะเจรจาที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเดินทางไปเจรจาที่สหรัฐฯ  แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า  ด้วยระยะเวลาที่เหลืออีกเพียง 1 เดือนจึงมีความกังวลว่าอาจจะไม่เวลาที่สหรัฐฯ กำหนดภายใน 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนหน้า 8 ก.ค.จึงใช้วิธีเจรจาผ่านระบบออนไลน์แทน ซึ่งสามารถทำได้คล้ายกับการเจรจากรอบความตกลงการค้าหรือเอฟทีเอ

สำหรับประเด็นที่ไทยเตรียมไว้สำหรับ เจรจาสหรัฐฯ ยังคงเป็นไปตามกรอบเดิมใน 5 ประเด็นโดยมีเป้าหมายลดการเกินดุลกับสหรัฐให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี และส่งเสริมความร่วมมือเป็นพันธมิตรระดับยุทธศาสตร์มากขึ้นในอนาคต ได้แก่

1. เสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทยและสหรัฐ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการใช้จุดแข็ง 2 ประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพื่อเป็นวัตถุดิบแปรรูปและส่งออกไปตลาดโลก และหารือร่วมภาคเกษตรของสหรัฐที่เป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

2. เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็น อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในประเทศ

3. เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวน 11,000 รายการ ลง 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ อีกทั้งลดโควตาและข้อจำกัดพร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์

4. บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าเคร่งครัดผ่านการบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า “Made in Thailand” โดยสินค้าจากประเทศที่ 3 ส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐ

5. ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐ 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง มูลค่าการลงทุน 16,000 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ทีมเจรจาทางเทคนิคจะดำเนินการเจรจาโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทันก่อนเดดไลน์ 8 ก.ค. 2568  ที่สหรัฐฯจะบังคับใช้ภาษีตอบโต้ 36%  

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า  การตอบรับการเจรจาของสหรัฐฯ ถือเป็นสัญญาณที่ดี โดยภาคเอกชนยินดีสนับสนุนข้อมูลและเห็นว่าข้อเสนอของไทยทั้ง 5 ข้อ ครอบคลุมประเด็นเจรจาการลดภาษีทั้งหมดแล้ว

ส่วนที่จะให้เอกชนเข้าร่วมด้วยหรือไม่นั้น ส่วนตัวเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะทีมเจรจารู้รายละเอียดทั้งหมดอยู่แล้ว และหวังว่าการเจรจาจะได้รับผลเป็นที่น่าพอใจดยหากการเจรจาสามารถจบได้ภายในสัปดาห์นี้สัปดาห์หน้าก็จะเป็นผลดี เพราะขณะนี้ การส่งออกชะลอเนื่องจากหากลงเรือจากไทยวันนี้อาจจะต้องใช้เวลากว่า 30 วันไปถึงสหรัฐฯไม่ทันตามกำหนดผ่อนผันภาษี แต่หากเจรจาจบเร็วก็ส่งผลดีกับทั้งสองประเทศ 

“ การเจรจาจะอยู่ในกรอบข้อเสนอ 5 ข้อ  เพราะข้อเสนอของไทยสร้างความสมดุลทางการค้าของทั้ง 2 ฝ่ายและสอดคล้องกับกฎระเบียบโลก ”

ในปี  2567 สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 18.3 % ไทยมีมูลค่าการค้ารวมกับสหรัฐฯ อยู่ที่ 74,484 ล้านดอลลาร์ ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่า 54,956 ล้านดอลลาร์ และนำเข้า 19,528 ล้านดอลลาร์ เกินดุลการค้ากว่า 35,427 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ขึ้นภาษีตอบโต้ไทย อยู่ที่ 36  % ติดอันดับ 20 จาก 185  เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าทั่วโลก และเป็นอันดับ 9 ของเอเชีย รองจากประเทศกลุ่ม CLMV ศรีลังกา อิรัก และ บังกลาเทศ